วิเคราะห์ศัพท์ในคาถาพาหุง (๒/๘)
คาถาที่ ๒
***
มาราติเรกมภิยุชฺฌิตสพฺพรตฺตึ
โฆรมฺปนาฬวกมกฺขมถทฺธยกฺขํ
ขนฺตีสุทนฺตวิธินา ชิตวา มุนินฺโท
ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ.
ปน อนึ่ง มุนินฺโท พระจอมมุนีพุทธเจ้า ชิตวา ทรงชนะ อาฬวกํ ยกฺขํ อาฬวกยักษ์ ถทฺธํ ผู้หยาบช้า โฆรํ น่าหวาดกลัว อกฺขมํ ปราศจากอธิวาสนขันติ อภิยุชฺฌิตสพฺพรตฺตึ เข้ามารบตลอดราตรียันรุ่งเช้า มาราติเรกํ ยิ่งกว่าพระยามาร ขนฺตีสุทนฺตวิธินา ด้วยวิธีคือการทรมานอย่างดีด้วยขันติ.๕ ตนฺเตชสา ด้วยอานุภาพของพระพุทธชัยมงคลนั้น ชยมงฺคลานิ ขอชัยมงคล ภวตุ จงมี เต แก่ท่าน.
..................
ความเป็นมาของคาถาที่ ๒ ศึกษาได้ในอาฬวกสูตร ขุททกนิกาย สุตตนิบาต และอรรถกถา.
..................
วิเคราะห์ศัพท์ในคาถาที่ ๒
[๒] มาราติเรกมภิยุชฺฌิตสพฺพรตฺตึ
โฆรมฺปนาฬวกมกฺขมถทฺธยกฺขํ
ขนฺตีสุทนฺตวิธินา ชิตวา มุนินฺโท
ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ.
---
๑. มาราติเรกํ (มาร + อติเรก + อํ) ผู้ยิ่งกว่ามาร
๑.๑ อติเรก ยิ่ง
๑.๒ มาร (มร ธาตุ มีอรรถว่า มรณ ตาย + ณ. ลบ ณฺ, วุ ทธิ อ เป็น อา) พญามาร
กุสลธมฺเม มาเรตีติ มาโร
ผู้ฆ่ากุศลธรรม ชื่อว่า มาร[1].
มารสฺส อติเรโก มาราติเรโก
ผู้ที่ยิ่งกว่าแห่งพญามาร ชื่อว่า มาราติเรก, หมายถึง เป็นยักษ์ที่น่ากลัวยิ่งกว่าพญามาร[2].
ลง อํ ทุติยาวิภัตติ เป็นวิเสสนะของ ...ยกฺขํ ในข้อที่ ๗.๑
๒. อภิยุชฺฌิต (อภิ + ยุธ ธาตุมีอรรถว่า ยุชฺฌน รบ+ ต + ย) ผู้ (อันพระจอมมุนิ) ทรงรบแล้ว[3]
แปลง ธฺย เป็น ชฺฌ ลง อิ อาคม หน้า ต สำเร็จรูปเป็น อภิยุชฺฌิต
ลง อํ ทุติยาวิภัตติเป็นวิเสสนะ ของ ...ยกฺขํ ในข้อที่ ๗.๑ หมายความว่า พระจอมมุนีทรงสู้รบกับยักษ์.
๓. สพฺพรตฺตึ (สพฺพ + รตฺติ + อํ) ตลอดราตรีทั้งปวง (คือ ตั้งแต่ปฐมยามถึงปัจฉิมยาม)
สพฺพ ทั้งหมด ทั้งปวง เป็นบทสัพพนาม
รตฺติ (รญฺช ธาตุ มีอรรถว่า ราค กำหนัด + ติ) ราตรี
รนฺชนฺติ สตฺตา เอตฺถาติ รตฺติ
เวลาที่สัตว์ทั้งหลายเกิดความกำหนัด ชื่อว่า รตฺติ[4]
รตฺติยา สพฺเพ ยามา สพฺพรตฺติ
ยามทั้งปวงแห่งราตรี ชื่อว่า สพฺพรตฺติ [5]
ลง อํ ทุติยาวิภัตติ ในอรรถอัจจันตสังโยค ซึ่งเป็นของบทว่า อภิยุชฺฌิตํ ในข้อที่ ๒โดยแสดงความเป็นไปแห่งกริยาการสู้รบตลอดราตรี
๔. โฆรํ (ฆุร ธาตุ มีอรรถว่า ภีม น่ากลัว + ณ ปัจจัย) ผู้น่ากลัว
ฆุรติ ภิํสตีติ โฆโร
ผู้ที่ทำให้กลัวชื่อว่าโฆร.
ลง อํ ทุติยาวิภัตติ ใช้เป็นบทวิเสสนะของ...ยกฺขํ ในข้อที่ ๗.๑.
๕. ปน อนึ่ง
เป็นนิบาตต้นข้อความ เรียกว่า วากยารัมภโชตกะ (แสดงการสืบเนื่องเนื้อความในประโยคนี้จากที่ได้กล่าวมาแล้วในประโยคก่อน) เพื่อแสดงความต่อเนื่องจากคาถาที่ ๑ ว่า การรบกับมารที่ได้กล่าวมาแล้ว ต่างจากการรบกับยักษ์อาฬวกะในคราวนี้.
๖. อาฬวกํ (อาฬวก + อํ) ยักษ์ชื่อว่า อาฬวกะ
อํ ทุติยาวิภัตติในอรรถกรรม เป็นวิเสสนะ ของบทว่า ...ยกฺขํ ในข้อที่ ๗.๓.
๗. อกฺขมถทฺธยกฺขํ (อกฺขม + ถทฺธ + ยกฺข + อํ ทุติยาวิภัตติ) ยักษ์ ผู้ไม่อดทนและ หยาบกระด้าง[6]
๗.๑ อกฺขม (น + ขม) ผู้ที่ไม่อดทน
ขมตีติ ขโม (ขมุ + อ)
ผู้อดทน ชื่อว่า ขโม.
น ขโม อกฺขโม (แปลง น เป็น อ)
ผู้ไม่อดทน ชื่อว่า อกฺขโม.
๗.๒ ถทฺธ หยาบกระด้าง[7]
ถทฺธ เป็นคำนาม
๗.๓ ยกฺข ยักษ์
ยกฺข เป็นคำนาม
อกฺขโม จ ถทฺโธ จ อกฺขมถทฺโธ.
ผู้ไม่อดทนด้วย หยาบกระด้างด้วย ชื่อว่า ผู้ไม่อดทนและหยาบกระด้าง.
อกฺขมถทฺโธ จ โส ยกฺโข จาติ อกฺขมถทฺทยกฺโข
ยักษ์ด้วย ยักษ์นั้น เป็นผู้ไม่อดทนและหยาบกระด้าง ด้วย ชื่อว่า อกฺขมถทฺธยกฺโข ยักษ์ที่ไม่อดทนและหยาบกระด้าง.
ลงอํ ทุติยาวิภัตติ ในออรรถกรรมและเป็นบทกรรมในบทว่า ชิตวา
๘. ขนฺตีสุทนฺตวิธินา (ขนฺตี + สุทนฺต + วิธิ + นา ตติยาวิภัตติ) ด้วยพระขันติอันทรงฝึกด้วยดีเป็นวิธี
๘.๑ ขนฺติ (ขมุ + ติ)
ขมนํ ขนฺติ
ความอดทน ชื่อว่า ขันติ.
๘.๒ สุทนฺต (สุ + ทม ธาตุ มีอรรถว่า ทมน การฝึก + ต) อันทรงฝึกดีแล้ว
สุฏฺฐุ ทนฺโต สุทนฺโต (ขนฺติ)
พระขันติที่ทรงฝึกดีแล้ว ชื่อว่า สุทนฺโต.
๘.๓ วิธิ อุบาย, แนวทาง
ขนฺติ จ โส สุทนฺโต จาติ ขนติสุทนฺโต
ขันติ ด้วย พระขันตินั้น ทรงฝึกดีแล้วด้วย ชื่อว่า ขนฺติสุทนฺโต.
ขนฺติสุทนฺโต จ โส วิธิ จาติ ขนฺติสุทนฺตวิธิ
พระขันติอันทรงฝึกดีแล้ว ด้วย พระขันติอันทรงฝึกดีแล้วด้วยนั้น เป็นวิธี ชื่อว่า ขนฺติสุทนฺตวิธิ
ลง นา ตติยาวิภัตติ เป็นบทกรณะในบทว่า ชิตวา.
---
บทที่เหลือตั้งแต่ ชิตวา มุนินฺโท ตนฺเตชสา จนถึง ชยมงฺคลานิ เหมือนกับคาถาที่ ๑ แม้ในคาถาที่เหลือก็มีนัยนี้.
***
แสดงการวิเคราะห์ศัพท์
ในคาถามีคำเริ่มต้นว่า มาราติเรก จบ
---
[1] มาร ในที่นี้ คือ เทวปุตตมาร ผู้เป็นพญามาร ในบรรดามาร ๓ จำพวก คือ ขันธมาร อภิสังขารมาร และ เทวปุตตมาร. ได้แก่ ซึ่งเป็นพญามาร. คัมภีร์อภิธาน.คาถาที่ ๔๒-๔๓ รวมศัพท์ที่เป็นชื่อของพญามารนี้ไว้ถึง ๑๒ ชื่อ อวิคฺคห, กาม, มโนภู, มทน, อนฺตก, วสวตฺตี, ปาปิมนฺตุ, ปชาปติ, ปมตฺตพนฺธุ, กณฺห, มาร, นมุจ.
[2] อีกนัยหนึ่ง มาเรน อภิยุชฺฌิตมฺหา อติเรกํ (อภิยุชฺฌิตํ) การรบอันยิ่งกว่ามาร (ลบ อภิยุชฺฌิต ศัพท์ในท่ามกลาง). โดยนัยนี้ลงอํวิภัตติในอรรถกริยาวิเสสนะ ของบทว่า อภิยุชฺฌิตํ ในข้อที่ ๒ หมายถึง การรบที่ยิ่งกว่าการบของมาร.
[3] ย ปัจจัย มิใช่ปัจจัยที่เป็นกรรมวาจก แต่เป็นศัพท์ที่เพื่อบ่งชี้ความเป็นกริยากรรมวาจกได้ชัดเจนขึ้น ส่วนความเป็นกรรมวาจกได้แก่บทกริยาที่ระบุหรือกล่าวถึงกรรมโดยมีอาขยาติกวิภัตติและกิจจปัจจัย คือ ต, ตพฺพ, อนียเป็นองค์ประกอบหลัก.ส่วนบทกรรมที่ถูกกริยาดังกล่าวระบุในประโยคนี้จะลงปฐมาวิภัตติ.
[4] อีกนัยหนึ่ง รตฺติ มาจาก ราธาตุ มีอรรถว่า คหณ ถือเอา ได้แก่ ไม่เบียดเบียน + ติ ปัจจัย) วิเคราะห์ว่า ราติ คณฺหาติ อพฺยาปารนฺติ รตฺติ. เวลา ที่ถือเอาความไม่เบียดเบียน ชื่อว่า รตฺติ. นอกจากนี้ คัมภีร์สัททนีติธาตุมาลา กล่าวว่า รตฺติ ศัพท์ มาจาก เร ธาตุ ในอรรถว่า สทฺท ส่งเสียง, รา ธาตุ มีอรรถว่า ฉิชฺชน ขาด, รนฺช ธาตุ มีอรรถว่า รชฺชน กำหนัด, ติ ธาตุ ที่มีอรรถว่า ฉิชฺชน ขาดสูญ อัน มี รา ศัพท์ มีอรรถว่า ส่งเสียง เป็นบทหน้า ดังนี้
รตฺตีติ นิสาสงฺขาโต สตฺตานํ สทฺทสฺส วูปสมกาโลฯ รา ติยฺยติ อุจฺฉิชฺชติ เอตฺถาติ รตฺติฯ
ก็ในที่นี้ บทว่า รา ได้แก่ เสียง. บทว่า รตฺติ มีความหมายว่า เวลาสงบแห่งเสียง ของเหล่าสัตว์ กล่าวคือเวลากลางคืน. ชื่อว่า รตฺติ เพราะเป็นกาลที่เสียงขาดสูญไป. และแสดงคาถาสรุปอีกโดยรวมที่มาจากธาตุอื่นๆอีกว่า
รนฺชธาตุวสา เจว, ราปุพฺพติรโตปิ จ;
รตฺติสทฺทสฺส นิปฺผตฺติํ, สทฺทตฺถญฺญู วิภาวเยฯ
รนฺชนฺติ สตฺตา เอตฺถาติ รตฺติ, รา สทฺโท ติยฺยติ ฉิชฺชติ เอตฺถาติ รตฺติ, สตฺตานํ สทฺทสฺส วูปสมกาโลติ อตฺโถฯ
นักไวยากรณ์แสดงว่า รตฺติ ศัพท์สําเร็จรูปมาจาก รนฺช ธาตุบ้าง ติร ธาตุมี รา ศัพท์เป็นบทหน้าบ้าง. (รตฺติ ศัพท์มีรูปวิเคราะห์ตามธาตุดังกล่าวดังนี้ คือ)
รนฺชนฺติ สตฺตา เอตฺถาติ รตฺติ
เวลาที่สัตว์ทั้งหลายเกิดความกำหนัด ชื่อว่า รตฺติ
รา สทฺโท ติยฺยติ ฉิชฺชติ เอตฺถาติ รตฺติ (ราสทฺ ทูปปท +ติ ฉิชฺชเน+กฺ วิ).
เวลาที่เสียงเงียบไป หมายถึง เป็นเวลาที่สัตว์ทั้งหลายเงียบเสียงไป.หมายความว่า เป็นเวลาที่เหล่าสัตว์หยุดส่งเสียงชื่อว่า รตฺติ.
ส่วนอภิธานวรรณนา อธิบายว่า รา ศัพท์ มีอรรถว่า ธน ดังนี้แล้ววิเคราะห์ว่า รา = ธนํ ติยฺยติ ฉิชฺชติ เอตฺถาติ รตฺติกาลเวลาที่ทรัพย์ย่อมหายไป ชื่อว่า รตฺติ.
[5] รตฺติ ศัพท์ ในที่นี้ใช้ในความหมายว่า ยาม ดังนั้น จึงมีวิเคราะห์ว่า รตฺติยา สพฺเพ ติยามา สพฺพรตฺติ ยามสามทั้งปวงแห่งราตรี ชื่อว่า สพฺพรตฺติ อีกนัยหนึ่ง สพฺพา รตฺติโย = ยามา สพฺพรตฺติ ราตรี กล่าวคือ ยามสามทั้งปวง ชื่อว่า สพฺพรตฺติ. อีกนัยหนึ่ง สพฺเพ ปฐมมชฺฌิมปจฺฉิมยามวเสน ยามา ยสฺสา สพฺพรตฺติ ยามทั้งปวง คือ ปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยาม ของราตรีใด มีอยู่ เหตุนั้น ราตรีนั้น ชื่อว่า สพฺพรตฺติ ราตรีที่มียามสามทั้งปวง. อนึ่ง รตฺติ ศัพท์ ในที่นี้มีอรรถว่า ยาม (รตฺติสทฺโท ปเนตฺถ กาเล สูริยาภาเว, ยาเม จ ปวตฺตติ.วชิร.ฏี.๒๕)และ ราตรีอันมียามสาม ในคัมภีร์อภิธาน. คาถาที่ ๖๙ ระบุคำศัพท์ที่ใช้ในความหมายว่า ราตรี ไว้ว่า ศัพท์ที่มีอรรถว่า กลางคืน ๕ : นิสา, รชนี, รตฺติ, ติยามา, สํวรี. ดังนั้น ในที่นี้ บทว่า รตฺติ จึงหมายถึง เวลาที่มียามทั้งสาม ดังฏีกาของคาถานี้กล่าวว่า ปฐมมชฺฌิมปจฺฉิมยามวเสน ตโย ยามา ปหารา ยสฺสา ติยามาฯ ยามทั้งปวง คือ ปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยาม ของราตรีใด มีอยู่ ราตรีนั้น ชื่อว่า ติยามา. ธาน.ฏี.๖๙) ดังนั้น ในที่นี้ สพฺพรตฺติ จึงหมายถึง สพฺพติยามํ แปลว่า ตลอดยามสามทั้งปวง.
[6] อีกนัยหนึ่ง ศัพท์นี้ เห็นว่าควรเป็นบทปัญจมีตัปปุริสสมาสว่า “อกฺขมถทฺโธ กระด้างเพราะอดทนไม่ได้” โดยเทียบกับนิทานที่มาของคาถานี้ ที่ว่า การที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปประทับอยู่ภายในที่พำนักของตน เป็นเหตุให้ยักษ์นี้เกิดความหวงแหน ในที่พำนักของตน อดทนไม่ได้ที่จะต้องตกเป็นของสาธารณะแห่งผู้อื่น จึงโกรธกริ้ว กลายเป็นผู้ดุร้าย ด้วยอำนาจอาวาสมัจฉริยะ แล้วใช้ฤทธานุภาพของตนมุ่งทำให้พระพุทธองค์พินาศไปหรือออกจากที่พำนักของตน.
[7] ถทฺธ ตามศัพท์หมายถึงความแข็งกระด้าง แต่ในทางธรรมนำศัพท์นี้มาใช้โดยเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นภาวะที่กระด้างแห่งจิต คือ ไม่น้อมจิตไปเพื่อแบ่งปัน ตรงกับ มัจฉริยะที่มีความทนไม่ได้ต่อการเป็นสาธารณะแห่งสมบัติตน ดังนั้น ศัพท์นี้ หมายถึง มัจฉริยะ โดยมีศัพท์ที่กล่าวถึงว่า ถทฺธมจฺฉรี กระด้าง หยาบช้า ดุร้าย เพราะตระหนี่ กล่าวคือ ไม่ยินดีในการให้[7] และไม่อดทนในการที่สมบัติตนจะตกไปเป็นของผู้อื่น.
***
ขออนุโมทนา
สมภพ สงวนพานิช
วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2568
วิเคราะห์ศัพท์ในคาถาพาหุง (๒/๘)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น