วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2568

วิเคราะห์ศัพท์ในคาถาพาหุง (๖/๘)

 สจฺจํ วิหาย มติสจฺจกวาทเกตุํ

วาทาภิโรปิตมนํ อติอนฺธภูตํ

ปญฺญาปทีปชลิโต ชิตวา มุนินฺโท

ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ.

มุนินฺโท พระจอมมุนีพุทธเจ้า ปญฺญาปทีปชลิโต ทรงรุ่งเรืองด้วยประทีปคือปัญญา ชิตวา ทรงชนะ สจฺจกํ สัจจกะนิครนถ์ อติอนฺธภูตํ ผู้มืดมนด้วยปัญญายิ่งนัก สจฺจํ วิหาย มติ ละความจริงเสียแล้วถือเอาความเห็นผิด วาทาภิโรปิตมนํ มีความคิดจะยกวาทะตน วาทเกตุํ ให้เป็นวาทะสูงดุจธง (เทสนาปญฺเญน) ด้วยเทสนาปัญญา. ตนฺเตชสา ด้วยอานุภาพของพระพุทธชัยมงคลนั้น ชยมงฺคลานิ ขอชัยมงคล ภวตุ จงมี เต แก่ท่าน.

..................

ชัยมงคลคาถาที่ ๖ นี้ ปารกฏในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จูฬสัจจกสูตร บาฬีข้อ ๓๕

****

[๖] สจฺจํ วิหาย มติสจฺจกวาทเกตุํ

วาทาภิโรปิตมนํ อติอนฺธภูตํ

ปญฺญาปทีปชลิโต ชิตวา มุนินฺโท

ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ.

----

               ๑. สจฺจํ (สจฺจ + อํ วิภัตติ) ความจริงแท้ กล่าวคือ ปรมัตถสัจจะ (สภาวสัจจะ) มีวิเคราะห์ว่า

               สต สาตจฺจ ทำต่อเนื่อง  +  ย ปัจจัย แปลง ตฺย เป็น จ ซ้อน จฺ  = สจฺจ

               การกระทำอย่างต่อเนื่อง ชื่อว่า สจฺจ[1]

               ลง อํ ทุติยาวิภัตติเป็นบทกรรมในบทว่า วิหาย ในข้อที่ ๒

 

               ๒. วิหาย (วิ + หา + ตฺวา) ละทิ้งแล้ว

               หา ธาตุ มีความหมายว่า สละ (จาค) มี วิ เป็นบทหน้า ลง ตฺวา ปัจจัยเป็นกริยาวิเสสนะในบทว่า มติสจฺจกในข้อที่ ๓ แปลง ตฺวา เป็น ย.

 

               ๓. มติสจฺจกวาทเกตุํ (มติ + สจฺจก + วาทเกตุ + อํ ทุติยาวิภัตติ) ผู้มีความเห็นของตนว่าเป็นความจริง และมีวาทะดุจธง

               ๓.๑ มติ (มน + ติ) ความคิดเห็น ในที่นี้ คือ มิจฉาทิฏฐิ

               ๓.๒ สจฺจ (สจฺจ) สัจจะ

               ๓.๓ มติสจฺจก ความจริงที่เกิดจากความคิดเห็นของตนไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงตามสภาวะ ในคัมภีร์อรรถกถาเรียกว่า ทิฏฐิสัจจะ[2].

                มติ = ทิฏฺฐิ เอว สจฺจํ มติสจฺจโก.

               สัจจะ (ความจริงที่ถูกต้อง) คือ มติ (ความเห็นผิดของตน) ชื่อว่า มติสัจจกะ.

               ในที่นี้ได้แก่ ความจริงที่เกิดจากความคิดเห็นผิดว่า เบญจขันธ์ว่าเป็นอัตตา เป็นไปในอำนาจของตนของนิครณ์นามว่า สัจจกะ

               ๓.๔ วาท (วท ธาตุ มีอรรถว่า พูด + ณ) วาทะ, คำพูด.             

               ๓.๕ เกตุ (เกตุ) มีความหมายตามศัพท์ว่า ธง ในที่นี้ เป็นคำอุปมาที่สื่อถึงการยกคำพูดขึ้นแสดง

               ๓.๖ วาทเกตุ (วาท + เกตุ) คำพูดดุจธง ได้แก่ คำพูดที่ยกขึ้นสูงเหมือนธงที่นำทัพ วิเคราะห์เป็นอุปมานุตรบท ว่า

               วาโท เกตุ อิว วาทเกตุ

               คำพูด ดุจธง ชื่อว่า วาทเกตุ.

               มติสจฺจกวาทเกตุ (มติสจฺจก + วาทเกตุ)

               มติสจฺจโก จ วาโทเกตุ จ ยสฺส โสยํ มติสจฺจกวาทเกตุ, สจฺจกนิคณฺโฐ

               ความจริงคือความเห็นผิดของตน ด้วย วาทะดุจธง ด้วย ของนิครณ์ใด มีอยู่ เหตุนั้น นิครณ์นั้น ชื่อว่า มติสจฺจกวาทเกตุ ผู้มีความจริงคือความเห็นผิดของตนและวาทะดุจธงธง, ได้แก่ สัจจกนิครณ์.[3]

               ลง อํ ทุติยาวิภัตติ เป็น มติสจฺจกวาทเกตุํ โดยเป็นวิเสสนะของบทว่า สจฺจกนิคณฺโฐ ที่เพิ่มมา.

 

               ๔. วาทาภิโรปิตมนํ (วาทาภิโรปิต + มน + อํ) มีความคิดเพื่อยกวาทะ

               ๔.๑ วาท (วท ธาตุ มีอรรถว่า พูด + ณ) วาทะ, คำพูด.

               ๔.๒ อภิโรปิต (อภิ + รุห ยก + ณาเป + ต ใช้ในอรรถภาวะ) การยกขึ้น, ประกาศ

               ๔.๓ มน (มุน ธาตุ มีอรรถว่า รู้, คิด  + อ) ธรรมชาติที่รู้, ใจที่คิด

               ๔.๔ วาทาภิโรปิต

               การยกวาทะ ชื่อว่า วาทาภิโรปิต.

               วาทาภิโรปิตตฺถํ มโน ยสฺส โสยํ วาทาภิโรปิตมโน, สจฺจกนิคณฺโถ

ความคิด เพื่อยกวาทะ (คิดโต้คารม) ของนิครณ์ใด มีอยู่ เหตุนั้น นิครณ์นั้น ชื่อว่า วาทาภิโรปิตมโน ผู้มีใจคิดเพื่อจะยกวาทะของตน ได้แก่ สัจจกนิครณ์.

               ลง อํ ทุติยาวิภัตติ เป็น วาทาภิโรปิตมนํ โดยเป็นวิเสสนะของบทว่า สจฺจกนิคณฺโฐ ที่เพิ่มมา.

 

               ๕. อติอนฺธภูตํ (อติ + อนฺธ + ภูต) เป็นผู้มืดบอดยิ่ง เป็นวิเสสนะของ  สจฺจกนิคณฺโฐ ที่เพิ่มมา.        

               อติ ยิ่ง

               อนฺธภูต ผู้เป็นบุคคลมืดบอด

               ภูต เป็น ใช้ในอรรถว่า สกัตถะ คือ มีความหมายของตนกล่าวคือ บทหน้าเป็นอรรถ.

               อติอนฺโธ เอว อติอนฺตภูโต

               เป็นบุคคลผู้มืดบอดยิ่ง ชื่อว่า อติอนฺธภูโต.

               สจฺจกนิคณฺโถ นิครณ์นามว่า สัจจกะ

               บทนี้ เพิ่มเข้ามาเป็นนามโยค (บทนามที่เพิ่มเข้ามา) โดยมีข้อ ๓ - ๕ เป็นวิเสสนะ.  ท่านผู้นี้มีคุณสมบัติดังได้กล่าวมาตั้งแต่ข้อที่ ๓ ถึง ๕[4]

 

               ๖. ปญฺญาปทีปชลิโต (ปญฺญา + ปทีป + ชลิต) ผู้รุ่งเรืองด้วยพระปัญญาดุจประทีป เป็นวิเสสนะของ มุนินฺโท.

               ๖.๑ ปญฺญา (ป + ญา ธาตุ มีอรรถว่า รู้ + กฺวิ + อา) ได้แก่ ธรรมชาติที่รู้โดยประการต่างๆ

               ๖.๒ ปทีป (ป + ทีป ธาตุ มีอรรถว่า ส่องสว่าง + ณ) ประทีป ธรรมชาติที่ส่องสว่าง.

               ๖.๓ ชลิโต (ชล ธาตุ มีอรรถว่า รุ่งเรือง + ต) ธรรมชาติที่รุ่งเรือง

 

               ปญฺญา ปทีโป อิว ปญฺญาปทีป (อุปมานุตรบทกัมมธารยสมาส)

               พระปัญญาดุจประทีป ชื่อว่า ปญฺญาปทีป

               ปญฺญาปทีเปน ปชลิโต ปญฺญปทีปชลิโต (มุนินฺโท) (ตติยาตัปปุริสสมาส)

               พระจอมมุนี ผู้ทรงรุ่งเรืองแล้วด้วยปัญญาดุจประทีป.


***

แสดงการวิเคราะห์ศัพท์

ในคาถามีคำเริ่มต้นว่า สจฺจํ จบ

---



[1] (รูปสิทธิ สูตรที่ ๖๖๐) อนึ่ง สัจจะมีความหมาย ๘ อย่างโดยสรุปที่มาในคัมภีร์อภิธานนัปปทีปิกา คือ

               นิพฺพาน มคฺค วิรติ,                สปเถ สจฺจภาสิเต;

               ตจฺเฉ จาริยสจฺจมฺหิ,              ทิฏฺฐิยํ สจฺจ มีริตํฯ

               (ธาน.และฏี.๘๐๐)  

               ๑. นิพพาน (บางแห่งเรียกว่า ปรมัตถสัจจะ)

               ๒. มรรค (บางแห่งเรียกว่า ปรมัตถสัจจะ)

               ๓. วิรตี

               ๔. คำสบถ (ด่า)

               ๕. คำกล่าวสัจจวาจา

               ๖. ความจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ แต่บางแห่งเรียกว่า สภาวสัจจะมาคู่กับสมมุติสัจจะ)

               ๗. อริยสัจจ์

               ๘. ทิฏฐิ (ความเห็นผิด)

ส่วนวิภังค์อรรถกถากล่าวไว้เพียง ๖ เว้นความหมายว่า สปถ (ด่า) และ ตจฺฉ (จริงแท้)

[2] ‘‘อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญ’’นฺติ คหิตา ทิฏฺฐิ ทิฏฺฐิสจฺจํฯ เพราะเป็นความเห็นที่ตนถือเอาว่า สิ่งนี้เท่านั้นเป็นจริง, สิ่งอื่นเหลวเปล่า" (วิภังคอรรถกถาและมูลฏีกา).

[3] สัจจกนิครณ์ผู้นี้ ละทิ้งปรมัตถสัจจะที่เป็นความจริง ไม่ใช่สัตว์ บุคคล แต่ถือเอาซึ่งความเห็นผิดที่เรียกว่า ทิฏฐิสัจจะ คือ ความจริงที่ตนถือเอาว่านี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นสูญเปล่า (ด้วยทิฏฐิสัจจะนี้ที่ท่านเรียกว่า มติสจฺจ ทำให้ผู้นี้ชื่อว่า สัจจกะ หมายถึง ผู้มีความเห็นของตนว่าเป็นจริงที่ถูกต้อง). เขาต้องการยกวาทะคือความเห็นผิดว่า อัตภาพนี้บังคับบัญชา เป็นไปในอำนาจของตนว่าเป็นความจริงที่ถูกต้องและมีวาทะที่ตนชูขึ้นดุจธง โดยหมายจะกล่าวข่มพระพุทธเจ้าให้ได้รับความอับอายในหมู่พุทธบริษัทและพวกพ้องของตน.

[4] อ่านรายละเอียดและประวัติของท่านผู้นี้ในพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จูฬสัจจกสูตร ๑๒/๓๙๒.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น