วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

๔๘ อมราเทวีปัญหา (ปัญหาที่ ๘ ในสัพพัญญุตญาณวรรคที่ ๔)

 

๘. อมราเทวีปญฺโห

อมราเทวีปัญหา

. ‘‘ภนฺเต นาคเสน, ภาสิตมฺเปตํ ภควตา

‘‘‘สเจ ลเภถ ขณํ วา รโห วา,        นิมนฺตกํ[1] วาปิ ลเภถ ตาทิสํ;

สพฺพาว อิตฺถี กยิรุํ นุ ปาปํ,                  อญฺญํ อลทฺธา ปีฐสปฺปินา สทฺธินฺติฯ

มิลินฺโท ราชา พระเจ้ามิลินท์ อาห ตรัสถามแล้ว อิติ ว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ เอตํ วจนํ พระดำรัสนี้ ภควตา อันพระผู้มีพระภาค ภาสิตมฺปิ ก็ตรัสไว้ อิติ ว่า

สเจ หาก อิตฺถี สตรี ลเภถ พึงได้ ขณํ ซึ่งขณะ[2] วา ก็ดี รโห วา ซึ่งที่ลับ[3] ก็ดี นิมนฺตกํ วา ซึ่ง ชายอื่น ผู้มาเกี้ยว[4]ตาทิสํ ผู้พึงเห็นเสมอด้วยสามี[5] วาปิ ก็ดี, สพฺพาว อิตฺถี หญิงทั้งหลายทั้งปวง, อลทฺธา แม้ไม่ได้แล้ว อญฺญํ ปุริสํ ซึ่งชายอื่น กยิรุํ พึงกระทำ ปาปํ ซึ่งกรรมชั่ว สทฺธิํ กับ ปีฐสปฺปินา ด้วยบุรุษเปลี้ย นุ แน่นอน ดังนี้

 

‘‘ปุน จ กถียติ มโหสธสฺส ภริยา อมรา นาม อิตฺถี คามเก ฐปิตา ปวุตฺถปติกา รโห นิสินฺนา วิวิตฺตา ราชปฺปฏิสมํ สามิกํ กริตฺวา สหสฺเสน นิมนฺตียมานา ปาปํ นากาสีติฯ

ก็ (เอตมฺปิ วจนํ) แม้คำนี้ ตุมฺเหหิ อันท่านทั้งหลาย กถียติ กล่าวอยู่ ปุน อีก อิติ ว่า "อิตฺถี สตรี อมรา นาม ชื่อว่า อมรา ภริยา ผู้เป็นภรรยา มโหสธสฺส ของท่านมโหสธ (สามิเกน) ถูกสามี ฐปิตา ทิ้งไว้ ปวุตฺถปติกา อยู่ปราศจากสามี นิสินฺนา นั่ง รโห ในที่ลับ วิวิตฺตา สงัดแล้ว กริตฺวา กระทำแล้ว สามิกํ ซึ่งสามี ราชปฺปฏิสมํ ประหนึ่งเป็นพระราชา ปุริเสน อันบุรุษอื่น นิมนฺตียมานา เกี้ยวอยู่ สหสฺสเสน ด้วยทรัพย์หนึ่งพัน นากาสิ มิได้กระทำแล้ว ปาปํ ซึ่งกรรมชั่ว[6] ดังนี้

 

ยทิ, ภนฺเต นาคเสน, ภควตา ภณิตํสเจเป.สทฺธินฺติ เตน หิ มโหสธสฺส ภริยาเป.นากาสีติ ยํ วจนํ, ตํ มิจฺฉาฯ ยทิ มโหสธสฺส ภริยาเป.นากาสิ, เตน หิ สเจเป.สทฺธินฺติ ตมฺปิ วจนํ มิจฺฉาฯ อยมฺปิ อุภโต โกฏิโก ปญฺโห ตวานุปฺปตฺโต, โส ตยา นิพฺพาหิตพฺโพ’’ติฯ

ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ ยทิ ถ้า (เอตํ วจนํ) คำนี้ ภควตา อันพระผู้มีพระภาค ภณิตํ ตรัสแล้ว อิติ ว่า สเจ หาก ฯลฯ กยิรุํ พึงกระทำ ปาปํ ซึ่งกรรมชั่ว สทฺธิํ กับ ปีฐสปฺปินา ด้วยบุรุษเปลี้ย นุ แน่นอน ดังนี้ เตน หิ ถ้าอย่างนั้น ยํ วจนํ คำใด ตุมฺเหหิ อันท่านทั้งหลาย กถียติ กล่าวอยู่ อิติ ว่า "อิตฺถี สตรี อมรา นาม ชื่อว่า อมรา ภริยา ผู้เป็นภรรยา มโหสธสฺส ของท่านบัณฑิตมโหสธ ฯลฯ นากาสิ มิได้กระทำแล้ว ปาปํ ซึ่งกรรมชั่ว ดังนี้, ตํ วจนํ คำนั้น มิจฺฉา ผิด,

ยทิ ถ้า อิตฺถี สตรี อมรา นาม ชื่อว่า อมรา ภริยา ผู้เป็นภรรยา มโหสธสฺส ของท่านบัณฑิตมโหสธ ฯลฯ นากาสิ มิได้กระทำแล้ว ปาปํ ซึ่งกรรมชั่ว จริงแล้วไซร้, เตน หิ ถ้าอย่างนั้น ตมฺปิ วจนํ คำแม้นั้น อิติ ว่า  สเจ หาก ฯลฯ กยิรุํ พึงกระทำ ปาปํ ซึ่งกรรมชั่ว สทฺธิํ กับ ปีฐสปฺปินา ด้วยบุรุษเปลี้ย นุ แน่นอน ดังนี้ มิจฺฉา ผิด.

อยมฺปิ ปญฺโห ปัญหาแม้นี้ โกฏิโก มีเงื่อนงำ อุภโต โดยส่วนสอง อนุปฺปตฺโต ตกถึงแล้ว ตว แก่ท่าน, โส ปญฺโห ปัญหานั้น ตยา ท่าน นิพฺพาหิตพฺโพ พึงคลี่คลาย ดังนี้

 

‘‘ภาสิตมฺเปตํ, มหาราช, ภควตา สเจเป.สทฺธินฺติฯ กถียติ จมโหสธสฺส ภริยา เป.นากาสีติฯ

นาคเสโน เถโร พระนาคเสนเถระ อาห ทูลตอบแล้ว อิติ ว่า มหาราช มหาบพิตร เอตํ วจนํ พระดำรัสแม้นี้ ภควตา อันพระผู้มีพระภาค ภาสิตมฺปิ ก็ตรัสแล้ว อิติ ว่า สเจ หาก ฯลฯ กยิรุํ พึงกระทำ ปาปํ ซึ่งกรรมชั่ว สทฺธิํ กับ ปีฐสปฺปินา ด้วยบุรุษเปลี้ย นุ แน่นอน ดังนี้, และ เอตํ วจนํ คำนี้ อมฺเหหิ พวกอาตมภาพ กถียติ ก็กล่าวอยู่ อิติ ว่า อิตฺถี สตรี อมรา นาม ชื่อว่า อมรา ภริยา ผู้เป็นภรรยา มโหสธสฺส ของท่านบัณฑิตมโหสธ ฯลฯ นากาสิ มิได้กระทำแล้ว ปาปํ ซึ่งกรรมชั่ว ดังนี้

 

กเรยฺย สา, มหาราช, อิตฺถี สหสฺสํ ลภมานา ตาทิเสน ปุริเสน สทฺธิํ ปาปกมฺมํ, น สา กเรยฺย สเจ ขณํ วา รโห วา นิมนฺตกํ วาปิ ตาทิสํ ลเภยฺย, วิจินนฺตี สา, มหาราช, อมรา อิตฺถี น อทฺทส ขณํ วา รโห วา นิมนฺตกํ วาปิ ตาทิสํฯ

มหาราช มหาบพิตร อิตฺถี หญิง สา นั้น ลภมานา ได้อยู่ สหสฺสํ พันแห่งทรัพย์ กเรยฺย พึงกระทำ ปาปกมฺมํ ซึ่งกรรมชั่ว สทฺธิํ กับ ปุริเสน ด้วยบุรุษ ตาทิเสน ผู้พึงเห็นเสมอด้วยสามี,  (ปน แต่) สา อมรา นาม อิตฺถี หญิง ที่ชื่อว่า อมรานั้น น กเรยฺย ไม่พึงกระทำ, สเจ ถ้า สา อิตฺถี หญิงนั้น ลเภยฺย พึงได้ ขณํ ว่า ซึ่งขณะ บ้าง รโห วา ซึ่งที่ลับ บ้าง นิมนฺตกํ ซึ่งชายผู้เล้าโลม ตาทิสํ วาปิ แม้บ้าง, มหาราช มหาบพิตร (ปน แต่)  สา อมรา อิตฺถี หญิง ชื่อว่า อมรา นั้น วิจินนฺตี พิจารณาอยู่ [7]น อทฺทส ไม่ได้เห็นแล้ว ขณํ วา ซึ่งขณะ บ้าง, รโห วา ซึ่งที่ลับ บ้าง นิมนฺตกํ ซึ่งชายอื่นผู้เกี้ยว ตาทิสํ ผู้พึงเห็นเสมอด้วยสามี วาปิ แม้บ้าง [8]

 

‘‘อิธ โลเก ครหภยา ขณํ น ปสฺสิ, ปรโลเก นิรยภยา ขณํ น ปสฺสิ, กฏุกวิปากํ ปาปนฺติ ขณํ น ปสฺสิ, ปิยํ อมุญฺจิตุกามา ขณํ น ปสฺสิ, สามิกสฺส ครุกตาย ขณํ น ปสฺสิ, ธมฺมํ อปจายนฺตี ขณํ น ปสฺสิ, อนริยํ ครหนฺตี ขณํ น ปสฺสิ, กิริยํ อภินฺทิตุกามา ขณํ น ปสฺสิฯ เอวรูเปหิ พหูหิ การเณหิ ขณํ น ปสฺสิฯ

สา อมรา หญิงชื่ออมรา นั้น ครหภยา เพราะกลัวแต่การติเตียน อิธ โลเก ในโลกนี้ น ปสฺสิ ไม่เห็นแล้ว ขณํ ซึ่งขณะ, สา อมรา หญิงชื่ออมรา นั้น  นิรยภยา เพราะกลัวแต่นรก น ปสฺสิ ไม่เห็นแล้ว ขณํ ซึ่งขณะ ปรโลเก ในโลกหน้า, สา อมรา หญิงชื่ออมรา นั้น จินฺเตตฺวา คิดแล้ว อิติ ว่า ปาปํ บาป กฏุกวิปากํ มีผลเผ็ดร้อน ดังนี้ น ปสฺสิ ไม่เห็นแล้ว ขณํ ซึ่งขณะ, สา อมรา หญิงชื่ออมรา นั้น อมุญฺจิตุกามา ไม่ปรารถนาเพื่อสละ ปิยํ ซึ่งสามีผู้เป็นที่รัก น ปสฺสิ ไม่เห็นแล้ว ขณํ ซึ่งขณะ, สา อมรา หญิงชื่ออมรา นั้น ครุกตาย เพราะเป็นผู้เคารพ สามิกสฺส ต่อสามี น ปสฺสิ ไม่เห็นแล้ว ขณํ ซึ่งขณะ,  สา อมรา หญิงชื่ออมรา นั้น อปจายนฺตี เพราะประพฤตินอบน้อม ธมฺมํ ซึ่งพระธรรม น ปสฺสิ ไม่เห็นแล้ว ขณํ ซึ่งขณะ, สา อมรา หญิงชื่ออมรา นั้น ครหนฺตี เพราะติเตียน อนริยํ ซึ่งความประพฤติมิใช่ประเสริฐ[9] น ปสฺสิ ไม่เห็นแล้ว ขณํ ซึ่งขณะ, สา อมรา หญิงชื่ออมรา นั้น อภินฺทิตุกามา เพราะไม่ต้องการทำลาย กิริยํ ซึ่งกรรมอันควรประพฤติ[10]  น ปสฺสิ ไม่เห็นแล้ว ขณํ ซึ่งขณะ, สา อมรา หญิงชื่ออมรา นั้น น ปสฺสิ ไม่เห็นแล้ว ขณํ ซึ่งขณะ การเณหิ เพราะเหตุทั้งหลาย พหูหิ เป็นอันมาก เอวรูเปหิ เห็นปานนี้

 

‘‘รโหปิ สา โลเก วิจินิตฺวา อปสฺสนฺตี ปาปํ นากาสิฯ สเจ สา มนุสฺเสหิ รโห ลเภยฺย, อถ อมนุสฺเสหิ รโห น ลเภยฺยฯ สเจ อมนุสฺเสหิ รโห ลเภยฺย, อถ ปรจิตฺตวิทูหิ ปพฺพชิเตหิ รโห น ลเภยฺยฯ สเจ ปรจิตฺตวิทูหิ ปพฺพชิเตหิ รโห ลเภยฺย, อถ ปรจิตฺตวิทูนีหิ เทวตาหิ รโห น ลเภยฺยฯ สเจ ปรจิตฺตวิทูนีหิ เทวตาหิ รโห ลเภยฺย, อตฺตนาว ปาเปหิ รโห น ลเภยฺยฯ สเจ อตฺตนาว ปาเปหิ รโห ลเภยฺย, อถ อธมฺเมน รโห น ลเภยฺยฯ เอวรูเปหิ พหุวิเธหิ การเณหิ รโห อลภิตฺวา ปาปํ นากาสิฯ

สา อมรา หญิงชื่ออมรานั้น วิจินิตฺวา พิจารณาแล้ว อปสฺสนฺตี เมื่อไม่เห็น รโหปิ แม้ซึ่งที่ลับ โลเก ในโลก นากาสิ ไม่ได้ทำแล้ว ปาปํ ซึ่งกรรมชั่ว. สเจ ถ้า สา หญิงอมรานั้น ลเภยฺย พึงได้ รโห ซึ่งที่ลับ มนุสฺเสหิ จากมนุษย์ทั้งหลาย, อถ ถึงอย่างไร น ลเภยฺย ไม่พึงได้ รโห ซึ่งที่ลับ อมนุสฺเสหิ จากอมนุษย์ทั้งหลาย. อถ ถึงอย่างไร น ลเภยฺย ไม่พึงได้ รโห ซึ่งที่ลับ ปพฺพชิเตหิ จากบรรพชิต ปรจิตฺตวิทูหิ ผู้รู้จิตของผู้อื่น. สเจ ถ้า ลเภยฺย พึงได้ รโห ซึ่งที่ลับ ปพฺพชิเตหิ จากบรรพชิต ปรจิตฺตวิทูหิ ผู้รู้จิตของผู้อื่น, อถ ถึงอย่างไร น ลเภยฺย ไม่พึงได้ รโห ซึ่งที่ลับ เทวตาหิ จากเทวดาทั้งหลาย ปรจิตฺตวิทูนีหิ ซึ่งรู้จิตของผู้อื่น. สเจ ถ้า ลเภยฺย พึงได้ รโห ซึ่งที่ลับ เทวตาหิ จากเทวดาทั้งหลาย ปรจิตฺตวิทูนีหิ ซึ่งรู้จิตของผู้อื่น, อถ ถึงอย่างไร น ลเภยฺย ไม่พึงได้ รโห ซึ่งที่ลับ ปาเปหิ จากบาปทั้งหลาย อตฺตนา ว ด้วยตนนั่้นเทียว[11], สเจ ถ้า ลเภยฺย พึงได้ รโห ซึ่งที่ลับ ปาเปหิ จากบาปทั้งหลาย อตฺตนา ว ด้วยตนนั่้นเทียว, อถ ถึงอย่างไร น ลเภยฺย ไม่พึงได้ รโห ซึ่งที่ลับ อธมฺเมน จากอธรรม[12]. สา อมรา หญิงชื่อว่า อมรานั้น อลภิตฺวา ไม่ได้แล้ว รโห ซึ่งที่ลับ นากาสิ ไม่ได้ทำแล้ว ปาปํ ซึ่ง การเณหิ เพราะเหตุทั้งหลาย พหุวิเธหิ หลายอย่าง เอวรูเปหิ เห็นปานนี้.

 

‘‘นิมนฺตกมฺปิ สา โลเก วิจินิตฺวา ตาทิสํ อลภนฺตี ปาปํ นากาสิฯ มโหสโธ, มหาราช, ปณฺฑิโต อฏฺฐวีสติยา องฺเคหิ สมนฺนาคโตฯ กตเมหิ อฏฺฐวีสติยา องฺเคหิ สมนฺนาคโต? มโหสโธ, มหาราช, สูโร หิริมา โอตฺตปฺปี สปกฺโข มิตฺตสมฺปนฺโน ขโม สีลวา สจฺจวาที โสเจยฺยสมฺปนฺโน อกฺโกธโน อนติมานี อนุสูยโก วีริยวา อายูหโก สงฺคาหโก สํวิภาคี สขิโล นิวาตวุตฺติ สณฺโห อสโฐ อมายาวี อติพุทฺธิสมฺปนฺโน กิตฺติมา วิชฺชาสมฺปนฺโน หิเตสี อุปนิสฺสิตานํ ปตฺถิโต สพฺพชนสฺส ธนวา ยสวาฯ

สา อมรา หญิงชื่ออมรา นั้น วิจินิตฺวา ใคร่ครวญแล้ว นิมนฺตกํปิ ซึ่งชายผู้มาเกี้ยว โลเก ในโลก อลภนฺตี ไม่ได้อยู่ ตาทิสํ ผู้เช่นกับด้วยสามี นากาสิ จึงไม่กระทำแล้ว ปาปํ ซึ่งกรรมชั่ว. มหาราช มหาบพิตร มโหสโธ มโหสธ ปณฺฑิโต ผู้เป็นบัณฑิต สมนฺนาคโต ประกอบแล้ว องฺเคหิ ด้วยองค์ทั้งหลาย อฏฺฐวีสติยา ๒๘, สมนฺนาคโต ประกอบแล้ว องฺเคหิ ด้วยองค์ทั้งหลาย อฏฺฐวีสติยา ๒๘ กตเมหิ อะไรบ้าง? มหาราช มหาบพิตร มโหสโธ มโหสธ สูโร เป็นผู้กล้าหาญ, หิริมา มีความละอายแต่บาป, โอตฺตปฺปี มีความสะดุ้งกลัวแต่บาป, สปกฺโข มีพวกพ้อง, มิตฺตสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยมิตร, ขโม มีความอดทน, สีลวา มีศีล, สจฺจวาที มีปกติพูดคำจริง, โสเจยฺยสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยความสะอาด, อกฺโกธโน ไม่มักโกรธ, อนติมานี ไม่เย่อหยิ่ง, อนุสูยโก ไม่ริษยา,  วีริยวา มีความเพียร, อายูหโก รู้จักหาทรัพย์[13], สงฺคาหโก รู้จักสงเคราะห์ผู้อื่น, สํวิภาคี รู้จักแบ่งปัน, สขิโล มีถ้อยคำอ่อนโยน, นิวาตวุตฺติ ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน, สณฺโห เป็นคนนุ่มนวล, อสโฐ ไม่โอ้อวด, อมายาวี ไม่มีมายา,  อติพุทฺธิสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยความคิดดีล้ำ,  กิตฺติมา มีเกียรติ,  วิชฺชาสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชา,  หิเตสี อุปนิสฺสิตานํ แสวงหาแต่ประโยชน์แก่ผู้เข้าไปอาศัยตน,  ปตฺถิโต สพฺพชนสฺส เป็นที่ปรารถนาแห่งชนทั้งปวง, ธนวา มีทรัพย์, ยสวา มียศ ดังนี้.

 

 มโหสโธ, มหาราช, ปณฺฑิโต อิเมหิ อฏฺฐวีสติยา องฺเคหิ สมนฺนาคโตฯ สา อญฺญํ ตาทิสํ นิมนฺตกํ อลภิตฺวา ปาปํ นากาสี’’ติฯ

มหาราช มหาบพิตร มโหสโธ มโหสธ ปณฺฑิโต ผู้เป็นบัณฑิต สมนฺนาคโต ประกอบแล้ว องฺเคหิ ด้วยองค์ทั้งหลาย อฏฺฐวีสติยา ๒๘ อิเมหิ เหล่านี้. สา หญิงชื่ออมรา นั้น อลภิตฺวา ไม่ได้แล้ว อญฺญํ ซึ่งชายอื่น นิมนฺตกํ ผู้มาเกี้ยว ตาทิสํ ผู้เช่นกับมโหสธนั้น นากาสิ ไม่ได้ทำแล้ว ปาปํ ซึ่งกรรมชั่ว ดังนี้

 

‘‘สาธุ, ภนฺเต นาคเสน, เอวเมตํ ตถา สมฺปฏิจฺฉามี’’ติฯ

มิลินฺโท ราชา พระเจ้ามิลินท์ อาห ตรัสแล้ว อิติ ว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ สาธุ พระคุณเจ้าวิสัชนาชอบแล้ว, อหํ ข้าพเจ้า สมฺปฏิจฺฉามิ ยอมรับ เอตํ ซึ่งคำนั้น ตถา โดยประการที่พระคุณเจ้ากล่าวมา เอวํ อย่างนี้ ดังนี้

อมราเทวีปญฺโห อฏฺฐโม.

อมาราเทวีปญฺโห อมราเทวีปัญหา

อฏฺฐโม ลำดับที่แปด นิฏฺฐิโต จบแล้ว

***



[1] ในกุณาลชาดกซึ่งเป็นบาฬีที่มา ปาฐะเป็น นิวาตกํ (กุณาลชาตเก) แต่ปาฐะในมิลินทปัญหาถูกต้องกว่า เพราะเหตุผล ๓ ประการ คือ ๑) อรรถกถากุณาลชาดกเอง ก็มิได้ตั้งบทว่า "นิวาตกํ แต่ตั้งบทว่า "นิมนฺตกํ",๒) แม้ในคัมภีร์มิลินทปัญหานี้ ก็เป็นนิมนฺตกํ ในประโยควิสัชนาว่า "นิมนฺตกมฺปิ สา โลเก วิจินิตฺวา ตาทิสํ อลภนฺตี ปาปํ นากาสิ, ๓) เพราะมีบทว่า รโห อยู่ในประโยคแล้ว ซึ่งรโห และ นิวาตก ศัพท์ เป็นคำไวพจน์ ซึ่งมีความหมายเดียวกัน คือ ที่ลับ ดังนั้น ในที่นี้ จึงแปลว่า นิมนฺตกํ ชายมาเกี้ยว หมายถึง มาพูดหรือกระทำกิริยา เพื่อเชิญชวนหญิงให้มารักตนนั่นเอง (โดยนัย มิ.ลีนตฺถ หน้า ๑๓๒)

[2] ได้ขณะ ได้ช่อง คือ ได้โอกาสในอันเสพเมถุนธรรม

[3] ที่ลับ คือ ที่ลับตา และที่ลับหู

[4] ผู้พูดเพื่อชักชวน ชื่อว่า นิมนฺตก (นิ + มนฺต ธาตุ ในอรรถ ภาสเน -กล่าว + ณฺวุ) ในที่นี้แปลว่า เกี้ยว  เพราะบริบทคือชายผู้แสดงท่าทีให้หญิงชอบตน

[5] ตาทิส แปลโดยศัพท์ คือ ผู้อันพึงเห็นเสมอด้วยผู้นั้น มีวิ.ว่า ตมิว นํ ปสฺสติ, โส วิย ทิสฺสตีติ วา ตาทิโส ย่อมเห็นซึ่งบุคคลราวกับว่า เขา ก็หรือว่า ผู้นั้น ย่อมปรากฏ เหมือนกับเขา (รู.๕๘๘) ความหมายคือ ผู้เช่นเดียว เสมอ หรือเทียบเท่ากับเขา. ในที่นี้ จึงหมายความว่า ชายผู้มาเกี้ยวนั้น เป็นเช่นเดียวกัน ผู้เสมอเหมือน เทียบเท่าสามีผู้เป็นที่รัก หรือ แม้ยิ่งกว่าสามีนั้น.

[6] พึงประพฤติมิจฉาจาร คือ พึงเสพอสัทธรรม

[7] วิจินนฺตี พิจารณา คือ เป็นผู้มีปัญญาพิจารณาสอดส่องในทุกสถาน เหตุที่นางรอบรู้ว่า นี้ประโยชน์ ไม่ใช่ประโยชน์ ควรหรือไม่ มีโทษ หรือ ปราศจากโทษ. อย่างไรก็ตาม มีบางท่านกล่าวว่า นางอมรา ผู้มีปกติพิจารณา เมื่อแสวงหาขณะ ที่ลับตาลับหู แม้ถูกบุรุษผู้เช่นกับสามีเกี้ยวพาราสี ก็ตาม ยังไม่พบเห็นขณะเป็นต้นเหล่านั้นเลย.  คำนี้ ไม่น่าใช่ เพราะนางอมรา มีปกติถึงพร้อมด้วยหิริโอตตัปะ และมีความรู้ จะไม่พยายามแสวงหาสิ่งเหล่านี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ทำอกุศลกรรม (มิ.ลีนตฺถ)

[8] มิ.ลีนัตถ.ว่า ข้อความว่า น สา กเรยฺย เกินมา แล้วแนะให้แปลประโยคว่า สเจ ขณํ วา ฯลฯ ตาทิสํ เป็นประโยคอนิยมะ ส่วนประโยคแรกเป็นประโยคนิยมะ,  ด้วยมตินี้ แปลว่า สเจ ถ้า สา อิตฺถี หญิงนั้น ลเภยฺย พึงได้ ขณํ วา ซึ่งขณะ บ้าง รโห วา ซึ่งที่ลับ บ้าง นิมนฺตกํ ซึ่งชายอื่นผู้เล้าโลม ตาทิสํ ดุจสามีนั้น วาปิแม้บ้าง ไซร้, อิตฺถี หญิง สา นั้น ลภมานา ได้อยู่ สหสฺสํ พันแห่งทรัพย์ กเรยฺย พึงกระทำ ปาปกมฺมํ ซึ่งกรรมชั่ว สทฺธิํ กับ ปุริเสน ด้วยบุรุษ ตาทิเสน ผู้เช่นนั้น. (มิ.ลีนตฺถ) แต่ในที่นี้ แปลเท่าที่มีปาฐะ มิได้ตัดออก.

[9] อีกนัยหนึ่ง ผู้มิใช่อริยะ คือ ผู้ต่ำช้า?

[10] กิริยา ในที่นี้ หมายถึง บุญกิริยา กล่าวคือ กุศลกรรม

[11] ถึงอย่างไรก็ไม่มีที่ลับที่ตนพอจะทำบาปได้ เพราะแม้ไม่มีผู้อื่นรู้เห็น ตนนั่นแหละเป็นผู้รู้เห็นการกระทำของตน

[12] คือ ในโลกนี้ ที่ลับที่สมควรใช้เป็นที่เสพอสัทธรรมแล้วจะพ้นจากอำนาจแห่งบาปกรรมได้ในที่ลับนั้น หามีไม่ อธิบายว่า นางอมราไม่ได้โอกาส ไม่ได้ที่ลับ และไม่ได้ชายผู้มาเกี้ยวผู้เป็นเช่นกับสามี หรือยิ่งกว่าสามี คือ มโหสถบัณฑิต ผู้ประกอบด้วยองค์คุณ ๒๘ ประการ มีความเป็นคนกล้าหาญ เป็นต้น จึงไม่ยอมทำชั่ว.

[13] อีกนัยหนึ่ง คือ ผู้สั่งสมบารมี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น