[๑] พาหุํ
สหสฺสมภินิมฺมิตสาวุธนฺตํ
คฺรีเมขลํ
อุทิตโฆรสเสนมารํ
ทานาทิธมฺมวิธินา
ชิตวา มุนินฺโท
ตนฺเตชสา ภวตุ
เต ชยมงฺคลานิ.
---
๑. พาหุํ (พาหุ +
อํ) ซึ่งแขน.
พาหุ (วห ธาตุ มีอรรถว่า ปาปณ
ช่วยให้ถึง +ณุ ) แขน
วหติ อเนนาติ วาหุ, วาหุ
เอว พาหุ.
แขนที่ช่วยชี้นำไป
ชื่อว่าวาหุ,
วาหุนั่นแหละ ชื่อว่า พาหุ (ลบณฺ,วุทธิ
อเป็นอา,อาเทศ วเป็นพ).
ลง
อํ ทุติยาวิภัตติ เป็นบทกรรมของ อภินิมฺมิตํ
๒. สหสฺสํ (สหสฺส+ อํ
ทุติยาวิภัตติ). จำนวน ๑๐๐๐
บทนี้เป็นวิเสสนะของบทว่า
พาหุํ[1]
๓.อภินิมฺมิตํ (อภิ + นิ +
มา ธาตุ มีอรรถว่า เนรมิต (สร้าง) + ต
ปัจจัยใช้ในอรรถกัตตา).
มา
ธาตุ มีอรรถว่า นับ, ตวง. ถ้ามี อภิ, นิ
เป็นบทหน้า เห็นใช้ในอรรถว่า สร้าง, เนรมิต.
บทนี้เป็นวิเสสนะของบทว่า
... มารํ แปลว่า ซึ่งมาร อภินิมฺมิตํ ผู้เนรมิตแล้ว
๔. สาวุธนฺตํ (สห + อาวุธ
อาวุธ + อนฺต ปัจจัย, แปลง สห เป็น ส ) พร้อมทั้งอาวุธ, มีอาวุธ
อนฺต
ปัจจัยที่ลงในอรรถเดิมของศัพท์ที่ตนอยู่ โดยลงมาเพื่อรักษาฉันท์ให้ครบ ๑๔ พยางค์.
สห อาวุเธน
วตฺตตีติ สาวุโธ,
แขนจำนวน ๑ พัน
ย่อมเป็นไปกับด้วยอาวุธ ชื่อวา สาวุโธ.
สาวุโธ เอว
สาวุธนฺตํ
สาวุโธ นั่นแหละ คือ
สาวุธนฺตํ
บทนี้เป็นบทวิเสสนะของบทว่า
พาหุํ สหสฺสํ.
พาหุํสหสฺสํ จ
ตํ สาวุธนฺตํ จาติ พาหุํสหสฺสสาวุธนฺตํ
แขนหนึ่งพัน ด้วย
แขนหนึ่งพันนั้น เป็นไปกับด้วยอาวุธด้วย ชื่อว่า พาหุํสหสฺสสาวุธนฺตํ.
พาหุํสหสฺสสาวุธนฺตํ
อภินิมฺมิตํ (มารํ) พาหุํสหสฺสมภินิมฺมิตสาวุธนฺตํ
ซึ่งพญามารผู้เนรมิตแขนหนึ่งพันพร้อมทั้งอาวุธ.
แปลงนิคคหิตท้าย สหสฺสํ
เป็น ม และนำประกอบกับ อ ที่อภินิมฺมิต เป็น พาหุํสหสฺสมภินิมิตสาวุธนฺตํ.
๕.
ครีเมขลํ (คิริเมขล + อํ ทุติยาวิภัตติ) ซึ่งช้างของมาร ชื่อว่า ครีเมขละ.
ครีเมขล ช้างของพญามาร
นามว่า คิริเมขล เพราะมีร่างกายใหญ่ดุจขุนเขา และเป็นดังสร้อยสังวาลย์แห่งขุนเขา
(ไหล่เขา) นั้น งดงามน่าดูยิ่งนัก ประหนึ่งยอดเขาหิมพานต์[2]
ลงทุติยาวิภัตติในอรรถกรรม เป็นบทกรรมของ
อุทิต ในบทว่า อุทิต ... มารํ
๖.
อุทิตโฆรสเสนมารํ (อุทิต + โฆร + สเสนมาร + อํ ทุติยาวิภัตติ)
ซึ่งพญามารพร้อมทั้งกองทัพที่น่ากลัว ผู้ขึ้นแล้วสู่ (ช้างคิริเมขลา)
อุทิต = (อุ ท
อาคมขึ้น + อิ ธาตุ ในอรรถว่า ไป + ต)
ผู้ขึ้นแล้ว
โฆร (ฆุร ธาตุ
มีอรรถว่า ภีม น่ากลัว + ณ ปัจจัย) ผู้น่ากลัว
ฆุรติ ภิํสตีติ
โฆโร
ที่ทำให้กลัวชื่อว่าโฆร.
สเสนมาร (สห + เสนา +
มาร) พระยามารพร้อมด้วยกองทัพ.
เสนา (สิ
ธาตุมีอรรถว่า พนฺธน ผูก + น + อา)
เสติ พนฺเธตีติ
เสนา
หมู่ทหารที่ผูกกันขึ้น ชื่อว่า เสนา[3].
กล่าวคือ กองทัพ
มาร (มร ธาตุ
มีอรรถว่า มรณ ตาย + ณ. ลบ ณฺ, วุ ทธิ อ เป็น อา) พญามาร
กุสลธมฺเม
มาเรตีติ มาโร
ผู้ฆ่ากุศลธรรม ชื่อว่า
มาร ได้แก่ เทวบุตรมาร กล่าวคือ พญามาร.
สห เสนาย วตฺตตีติ มาโร สเสนมาโร
พญามาร
ผู้เป็นไปพร้อมทั้งกองทัพ ชื่อว่า สเสนมาร พญามารพร้อมด้วยกองทัพ.
โฆโร จ โส สเสนมาโร จาติ
โฆรสเสนมาโร
น่ากลัว
ด้วย น่ากลัวนั้นเป็นพญามารพร้อมด้วยกองทัพ ด้วย ชื่อว่า โฆรสเสนมาร
พญามารพร้อมทั้ง กองทัพที่น่ากลัว
อุทิโต จ โส โฆรสเสนมาโร จาติ
อุทิตโฆรสเสนมาโร
ผู้ขึ้นแล้ว
ด้วย ผู้ขึ้นแล้วนั้น เป็นพญามารพร้อมทั้งกองทัพที่น่ากลัว ด้วย ชื่อว่า
อุทิตโฆรสเสนมาโร พญามารพร้อมทั้งกองทัพที่น่ากลัว
ผู้ขึ้นแล้วสู่ (ช้างคิริเมขลา)
ลง
อํ ทุติยาวิภัตติ ในอรรถกรรม และเป็นบทกรรมของบทว่า มุนินฺโท.
๗.ทานาทิธมฺมวิธินา
(ทานาทิ + ธมฺมวิธิ + นา ตติยาวิภัตติ) ด้วยบารมีธรรม ๑๐
มีทานเป็นต้นเป็นวิธี
ทาน (ทา ธาตุ
มีอรรถว่า ทาย การให้ + ยุ, แปลง ยุ เป็น อน) การให้
ทานนํ ทานํ.
การให้ชื่อว่า ทานะ.
อาทิ (อาทิ = ปฐม) ลำดับแรก
ธมฺม (ธู
ธาตุมีอรรถว่า วิทฺธํสน กำจัด + รมฺม[4]) กุศลธรรม
คือ บารมีธรรมทั้ง ๑๐
ปาปเก อกุสเล
ธมฺเม ธุนาติ กมฺเปติ วิทฺธํเสตีติ ธมฺโม
ชื่อว่า ธมฺม
เพราะกำจัดอกุศลธรรมที่ต่ำทราม.[5]
วิธิ (วิ + ธา ธาตุ
+ อิ ปัจจัย) วิธี, สิ่งที่ใช้จัดการ, อุบาย อันเป็นแนวทางที่จะทำ. ในที่นี้คือ
บารมีธรรมมีทานเป็นต้น ที่เป็นเครื่องจัดการให้ชนะมาร คือ
ชนะมารด้วยบารมีธรรมมีทานเป็นต้น)
วิทธาติ เอตายาติ
วิธิ
วิธีที่ใช้เป็นเครื่องจัดการ
ชื่อว่า วิธิ.
ทานํ อาทิ เยสํ
เต ทานาทิ.
ทานเป็นเบื้องต้นแห่งบารมีธรรมทั้งหลายเหล่าใด
ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ชื่อว่า มีทานเป็นเบื้องต้น.
ทานาทิ จ โส
ธมฺโม จาติ ทานาทิธมฺโม.
มีทานเป็นเบื้องต้นด้วย
มีทานเป็นเบื้องต้น นั้น เป็นบารมีธรรมด้วย ชื่อว่า ทานาทิธมฺโม
บารมีธรรมทั้งหลายมีทานเป็นเบื้องต้น.
ทานาทิธมฺโม จ
โส วิธิ จาติ ทานาทิธมฺมวิธิ
บารมีธรรมทั้งหลายมีทานเป็นเบื้องต้น
ด้วย บารมีธรรมทั้งหลายมีทานเป็นเบื้องต้น นั้นเป็นวิธิ ด้วย ชื่อว่า
ทานาทิธมฺมวิธิ (บารมีธรรมทั้งหลายมีทานเป็นเบื้องต้นเป็นวิธี)
ลง นา ตติยาวิภัตติ
ในอรรถกรณะ และเป็นกรณะในบทว่า ชิตวา.
๘.
ชิตวา = ทรงชนะแล้ว
มาจาก ชิ ธาตุ
ในความชนะ ลง ตวนฺตุ ปัจจัย ในอรรถกัตตา
ใช้เป็นกริยาคุมพากย์ของประโยคว่า พาหุํ ฯปฯ มุนินฺโท นี้. ลง สิ
ปฐมาวิภัตติ แปลง สิ กับ นฺตุ เป็น อา สำเร็จรูปเป็น ชิตวา.
๙.
มุนินฺโท (มุนิ + อินฺท) พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นเลิศแห่งมุนีทั้งหลาย
นิยมเรียกขานกันว่า พระจอมมุนี.
มุนี (มุน ธาตุ
มีอรรถว่า ญาณ รู้ + อี) พระมุนี ผู้รู้ธรรมทั้งปวง
สพฺพากาเรน
สพฺพธมฺมานํ มุนนโต มุนิ
ชื่อว่า พระมุนิ
เพราะทรงรู้ธรรมทั้งปวงโดยอาการทั้งปวง
อินฺท (อิทิ ธาตุ
มีอรรถว่า ปรมิสฺสริย เป็นใหญ่ยิ่ง + อ) ผู้เป็นใหญ่ยิ่ง.
อินฺทติ
ปรมิสฺสริยํ กโรตีติ อินฺโท
ผู้กระทำซึ่งความใหญ่ยิ่ง
ชื่อว่า อินฺโท ผู้เป็นใหญ่ยิ่ง
มุนีนํ อินฺโท ราชา มุนินฺโทฯ
ผู้เป็นใหญ่ คือ
เป็นจอมแห่งมุนีทั้งหลาย ชื่อว่า มุนินฺโท
บทนี้
เป็นบทประธานของประโยคว่า พาหุํ ฯปฯ มุนินฺโทนี้.
๑๐. ตนฺเตชสา (ตสฺส + เตช
เดช, อานุภาพ + นา แปลง นา เป็น สา)
ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้านั้น
การที่แปลง นา ตติยาวิภัตติ เป็น สา
เพราะอยู่ท้าย เตช ที่อยู่ในกลุ่มศัพท์ที่เรียกว่า มโนคณาทิคณะ.
ตสฺส หมายถึง
พุทธสฺส ของพระพุทธเจ้านั้น.
เมื่อเข้าสมาสกับ เตช ศัพท์ แล้วเป็น ตสฺส เตชสา ลบ ส วิภัตติลงนิคคหิตอาคม
เป็น ตํเตชสา แปลงนิคคหิตเป็นพยัญชนะที่สุดของตวรรค เป็น ตนฺเตชสา.
บทนี้เป็นกรณะในบทว่า
ภวตุ.
๑๑.
ภวตุ (ภู ธาตุ มีอรรถว่า มี, เป็น + อ วิกรณปัจจัย + ตุ
ปัญจมีอาขยาติกวิภัตติ). จงมี
อาเทส
อู เป็น โอ, แปลง โอ เป็น อว สำเร็จรูปเป็น ภวตุ
เป็นกริยาคุมพากย์ของประโยคว่า ตนฺเตชสา ฯปฯ ชยมงฺคลานิ.
๑๒. เต (ตุมฺห ศัพท์
(ท่าน) + ส ฉัฏฐีวิภัตติ (ของ) แปลง ตุมฺห
กับ สวิภัตติ เป็น เต) ของท่าน
แปลง ตุมฺห กับ สวิภัตติ เป็น เต
ใช้เป็นบทสัมพันธะของบทว่า ชยมงฺคลานิ. แต่นิยมแปลเป็นจตุตถีวิภัตติว่า แก่
โดยนัยนี้ ท่านถือว่าเป็นสัมปทานะในบทว่า ภวตุ.
๑๓. ชยมงฺคลานิ (ชย + มงฺคลํ)
ชย (ชิ ธาตุ
มีอรรถว่า ชนะ + ณ, แปลง เอ เป็น อย)
ชยนํ ชโย
ความชนะ ชื่อว่า ชัย
มงฺคล (มคิ ธาตุ
มีอรรถว่า ถึง + อล ปัจจัย) มงคล, เหตุถึงความเจริญด้วยสมบัติทั้งปวง.
มงฺคนฺติ อิเมหิ สตฺตา อิทฺธิํ จ
วุฑฺฒิํ จ ปาปุณนฺตีติ มงฺคลํ.
สัตว์ทั้งหลาย ย่อมถึง คือ
ย่อมบรรลุซึ่งความสำเร็จ
และความเจริญด้วยธรรมเหล่านี้ ดังนั้น ธรรมเหล่านี้ จึงชื่อว่า
มงคล ธรรมเป็นเหตุให้ถึงความสำเร็จและเจริญ.
ชโย จ โส
มงฺคลํ จาติ ชยมงฺคลํ.
ชัยชนะด้วย ชัยชนะนั้น
เป็นมงคลด้วย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ชัยมงคล.
รูปนี้เป็นปฐมาวิภัตติ
เอกวจนะ เมื่อควรจะกล่าวว่า ชยมงฺคลํ โดยแปลง สิ ปฐมาวิภัตติฝ่ายเอกพจน์ เป็น
อํ แต่ท่านใช้เป็นพหุวจนะว่า ชยมงคลานิ โดยไม่ตรงกับบทกริยาที่เป็น
เอกพจน์ว่า ภวตุ เพื่อที่จะให้ครบคณะฉันท์ ๑๔ อักษร. วิธีการนี้เรียกว่า
วิปัลลาสนัย หมายถึง การใช้วิภัตติโดยเปลี่ยนจากวิภัตติเดิม.
เป็นบทประธานของประโยคนี้
***
แสดงการวิเคราะห์ศัพท์
ในคาถามีคำเริ่มต้นว่า พาหุํ
จบ
---
[1] ข้อคิดเห็น นัยที่ ๑. บทว่า พาหุํ บทเดียว ถ้าจะให้เป็น บทกรรมของ
อภินิมฺมิตํ แปลว่า ซึ่งแขน โดยมาจาก พาหุ
แขน + อํ ทุติยาวิภัตติ แทนที่จะเป็นพหุวจนะว่า พหุโน. แต่ประกอบรูปเป็นเอกวจนะโดยเพ่งถึงความโดยรวม
เหมือนคำว่า โอทนํ มิได้หมายถึง ข้าวสุกเพียงเมล็ดเดียว แต่หมายถึง ข้าวสุกทั้งหมด
๑ จำนวน.
นัยที่ ๒
ถ้าให้เป็นบทฉัฏฐีตัปปุริสสมาส ว่า พาหุํสหสฺสํ (ซึ่งแขน ๑,๐๐๐ วิ.พาหุโน สหสฺสํ
พาหุํสหสฺสํ พันแห่งแขนท.) โดยลงนิคหิตอาคมที่ พาหุ.
นัยที่ ๓
เป็นสมาสที่ไม่ลบวิภัตติ เพราะเทียบจากปาฐะในอรรถกถาชาดกที่เป็น “พาหุสหสฺสํ”
โดยนัยนี้ พาหุํสหสฺสํ ก็จะเป็นบทกรรมของ อภินิมฺมิตํ แปลว่า มารํ ซึ่งมาร
....ผู้ขึ้นแล้วสู่ช้างครีเมขละ อภินิมฺมิตํ ผู้เนรมิตแล้ว พาหุํสหสฺสํ
ซึ่งแขนหนึ่งพัน สาวุธนฺตํ พร้อมทั้งอาวุธ.
ข้าพเจ้าเห็นชอบนัยที่
๓ วิเคราะห์นี้ เพราะสอดคล้องกับนัยที่มาในอรรถกถา.
[2] ในคัมภีร์อรรถกถาชาดกและอื่นๆ
ที่กล่าวถึงเรื่องพญามารนี้ เป็น คิริเมขลํ. คำนี้ มาจาก คิริ + เมขล
คัมภีร์อภิธาน.ฏีกา อธิบายว่า เป็นช้างของพญามารมาจาก คิริ ศัพท์ ภูเขา และ
เมขลา+ณ) และพรรณนาว่า
สรีรมหนฺตภาเวน
คิริสทิสตฺตา คิริ วิยาติ คิริฯ มาเรน มมายนวเสน ‘‘อยํ เม หตฺถี เมขโล นาม
โหตู’’ติ กตนามตฺตา เมขลา วิยาติ เมขโลติ สมุทิตนามทฺวเยน
เอกเมว หตฺถิํ วทติ, ยถา ‘‘วชิราสนิ,
สีตุณฺห’’นฺติฯ
ท่านเรียกช้างเชือกเดียวโดยนำชื่อ
๒ ชื่อรวมกัน คือ ชื่อว่า คิริ เพราะเป็นช้างที่ร่างกายสูงใหญ่ดุจขุนเขา
และชื่อว่า เมขละ เพราะเหมือนสายรัดเอว (ลบ ณฺ และ สระหน้า), ดังนั้น พญามาร
จึงตั้งชื่อให้ด้วยความภาคภูมิใจว่า "ช้างของเรา เชื่อกนี้ ต้องมีชื่อว่า เมขละ"
เหมือนกับคำว่า วชิราสนิ (ที่เป็นการนำชื่อ ๒ ชื่อ คือ วชิร และ อสนิ มารวมกัน)
และ สีตุณหะ (ที่นำคำว่า สีต + อุณฺห มารวมกัน).
ส่วนคัมภีร์อรรถกถาพุทธวังสะ
อธิบายลักษณะของช้างนี้ว่า
ทิยฑฺฒโยชนสติกํ
หิมคิริสิขรสทิสํ ปรมรุจิรทสฺสนํ คิริเมขลํ นามรตนขจิตวรวารณํ อริวารณวารณํ
อภิรุหิตฺวา พาหุสหสฺสํ มาเปตฺวา อคฺคหิตคฺคหเณน นานาวุธานิ อคฺคหาเปสิฯ
พญามารขึ้นช้างนามว่า
คิริเมขละ ที่ป้องกันข้าศึกได้เป็นอย่างดี เป็นช้างที่ประดับด้วยรัตนะ
มีร่างกายขนาดหนึ่งร้อยห้าสิบโยชน์
ประหนึ่งยอดภูเขาที่มีหิมะ (ยอดเขาหิมพานต์) สวยงามน่าดูชมยิ่งนัก
เนรมิตแขนพันแขนให้จับอาวุธต่างๆ ด้วยการจับอาวุธอันใครๆ ไม่เคยจับ.
[3] วิเคราะห์นี้จาก
หนังสือ ศัพท์วิเคราะห์ แต่โดยศัพท์หมายถึง
การผูกหรือรวมสิ่งที่ประกอบกันกล่าวคือทัพพะเข้าเป็นกลุ่มเป็นกอง เรียกว่า กองทัพ
(กองแห่งทัพพะ) ในที่นี้ได้แก่ พวกทหารเท่านั้น. ดังข้อความในอภิธาน.๒๕๙
ที่กล่าวถึงศัพท์นี้ว่าเป็น ๑ ในบรรดา ๗ ศัพท์ที่มีความหมายว่า เสนา (กองทัพ) คือ
วาหินี, ธชินี, เสนา, จมู, จกฺกํ, พลํ และอนีก.
[4] นีติ.ธาตุ.
ธร ธาตุวินิจฉัย. อีกนัยหนึ่ง มาจาก ธร
ธาตุ มีอรรถว่า ธารณ ทรงไว้ + รมฺม ข. จตูสุ อปาเยสุ สํสาเร วา สตฺเต อปตมาเน
ธาเรตีติ ธมฺโม. ชื่อว่า ธมฺม เพราะเป็นสภาวะที่ทรงสัตว์ ไว้ไม่ให้ตกไปในอบาย ๔
หรืออในวัฏฏสงสาร.
[5] คัมภีร์พุทธวงส์มีข้อความที่กล่าวถึง
ธมฺม ศัพท์อันหมายถึง บารมี ๑๐ มีทานเป็นต้นไว้หลายแห่ง อาทิ
อิเม ธมฺเม สมฺมสโต, สภาวสรสลกฺขเณ;
ธมฺมเตเชน วสุธา, ทสสหสฺสี
ปกมฺปถฯ (ขุ.พุทฺธ.๑๖๖)
เมื่อเราพิจารณาเห็นธรรมเหล่านี้ พร้อมทั้งกิจและลักษณะอันเป็นภาวะของตน
พื้นพสุธาโลกธาตุมีหมื่นจักรวาลก็ไหวด้วยเดชแห่งธรรม.
คัมภีร์อรรถกถาแห่งพุทธวงศ์นี้ชี้ชัดว่า
ธมฺม ได้แก่ บารมีธรรม ความว่าอิเม ธมฺเมติ ปารมิธมฺเม ฯปฯ ธมฺมเตเชนาติ ปารมิปวิจยญาณเตเชนฯ บทว่า
อิเม ธมฺเม นี้ได้แก่ ธรรมกล่าวคือบารมี, ส่วน บทว่า ธมฺมเตเชน ได้แก่
ด้วยเดชคืออำนาจแห่งการรู้จักเลือกเฟ้นบารมี. (พุทฺธ.อ. ๑๖๖)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น