วิเคราะห์ศัพท์ในคาถาพาหุง (๔/๘)
***
อุกฺขิตฺตขคฺคมติหตฺถสุทารุณนฺตํ
ธาวนฺติโยชนปถงฺคุลิมาลวนฺตํ
อิทฺธีภิสงฺขตมโน
ชิตวา มุนินฺโท
ตนฺเตชสา ภวตุ
เต ชยมงฺคลานิ.
มุนินฺโท
พระจอมมุนีพุทธเจ้า อิทฺธีภิสงฺขตมโน ทรงมีพระหทัยคิดกระทาอิทธาภิสังขาร ชิตวา
ทรงชนะ โจรํ โจร องฺคุลิมาลวนฺตํ ผู้คล้องมาลัยนิ้วมือมนุษย์ อติหตฺถํ
ชานาญการฟันดาบ สุทารุณนฺตํ หยาบช้ายิ่ง อุกฺขิตฺตขคฺคํ เงื้อดาบ ธาวํ วิ่งตาม
(พระพุทธองค์) ติโยชนปถํ ชั่วทางสามโยชน์.
ตนฺเตชสา ด้วยอานุภาพของพระพุทธชัยมงคลนั้น ชยมงฺคลานิ ขอชัยมงคล ภวตุ จงมี เต แก่ท่าน.
..................
คาถาชัยมงคลที่
๔ นี้ ปรากฏในอังคุลิมาลสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ และอรรถกถา.
..................
วิเคราะห์ศัพท์ในคาถาพาหุง (๔/๘)
[๔]
อุกฺขิตฺตขคฺคมติหตฺถสุทารุณนฺตํ
ธาวนฺติโยชนปถงฺคุลิมาลวนฺตํ
อิทฺธีภิสงฺขตมโน
ชิตวา มุนินฺโท
ตนฺเตชสา
ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ.
----
๑. อุกฺขิตฺตขคฺคํ (อุกฺขิตฺต +
ขคฺค + อํ ทุติยาวิภัตติ) ซึ่งโจร ผู้มีดาบอันยกขึ้นแล้ว (ถือดาบเงื้อง่า)
อุกขิตฺต ขับออก, (อุ + ขิป ธาตุ
มีอรรถว่า ฉฑฺฑน ทิ้ง, ซัดไป + ต ปัจจัย. ลบ ที่สุด
ธาตุ ซ้อน ตฺ.
ขคฺค ดาบ
เป็นพหุพพีหิสมาส
โดยมีความหมายหลักที่คำว่า โจรํ โจร ภายนอกสมาส มีคำจำกัดความว่า
อุกฺขิตฺโต ขคฺโค เยน โส
อุกฺขิตฺตขคฺโค (โจโร), ตํ โจรํ.
ดาบ
อันโจรใดเงื้อง่าแล้ว โจรนั้น ชื่อว่า มีดาบอันเงื้อง่าแล้ว, (ทรงชนะแล้ว)
ซึ่งโจรนั้น
ลง
อํ ทุติยาวิภัตติ และบทนี้เป็นวิเสสนะของบทว่า โจรํ ในข้อที่ ๖
๒.
อติหตฺถํ ชำนาญการ[1]
อติหตฺถ
ชำนาญ+ อํ ทุติยาวิภัตติ
๓. สุทารุณนฺตํ (สุ ดี,มาก +
ทารุณ น่ากลัว + อนฺต ศัพท์สกัตถะ + อํ ทุติยาวิภัตติ) ผู้ดุร้าย, น่ากลัวมาก
ทารุณ[2] (ทร ธาตุ
มีอรรถว่า วิทารณ ทำลาย,
อุโณ) ร้าย, ไม่มีความเมตตาสงสาร
ทริยตีติ ทารุโณ.
ย่อมทำลาย
ชื่อว่า ทารุณ (วุทธิสระ อ ต้นธาตุ
เป็นอา)
วิฆาตกภาเวน กายจิตฺตานํ วิทารณโต = ทารุโณ.
ม.ฏี.๓/๖
ผู้ชื่อว่า
ทารุณ ดุร้าย เพราะทำลายกายและจิตโดยเป็นผู้เบียดเบียน.
เป็นวิเสสนะ
ของ โจรํ ในข้อที่ ๖
๔.
ธาวํ (ธาวุ ธาตุ ในอรรถ คติ ไป + อ)
ผู้วิ่งไป
ธาวตีติ ธาโว
ผู้วิ่งไป
ชื่อว่า ธาว.
ลง
อํ ทุติยาวิภัตติ ในอรรถกรรม เป็นวิเสสนะของบทว่า โจรํ ในข้อที่ ๖.
๕.
ติโยชนปถํ ติโยชน (ติ + โยชน) + ปถ + อํทุติยาวิภัตติ) สิ้นหนทาง ๓ โยชน์
ตีณิ โยชนานิ ยสฺส โส ติโยชโน
(ปโถ)
โยชน์ท.๓
ของหนทางใดมีอยู่ หนทางนั้น ชื่อว่า มีโยชน์ ๓
ติโยชโน จ โส ปโถ จาติ ติโยชนปโถ
โยชน์ด้วย
สามโยชน์นั้น เป็นหนทางด้วย ชื่อว่า ติโยชนปโถ หนทางมี ๓ โยชน์.
ลง
อํ ในอรรถอัจจันตสังโยค เป็นบทแสดงการวิ่งไปตลอดทางไกล ๓ โยชน์ของบทว่า ธาวํ ในข้อ
๔.
๖.
องฺคุลิมาลวนฺตํ (องฺคุลิ + มาล + วนฺตุ + อํ
ทุติยาวิภัตติ)โจรผู้มีนิ้วเป็นพวงมาลัย
เป็นบทตทัสสัตถิตัทธิต
ลงวนฺตุ ปัจจัย ในอรรถว่า มี ท้ายบทว่า องฺคุลิมาลา ประกอบด้วย
องฺคุลิ เอว มาลา
พวงมาลัย
คือ นิ้วมือ ชื่อว่า องฺคุลิมาลา
เป็นบทอวธารณบุพพบทกรรมธารยสมาส
องฺคุลิมาลา อสฺส อตฺถีติ
องฺคุลิมาลวา โจโร, ตํ องฺคุลิมาลวนฺตํ
โจรนี้
ชื่อว่า องฺคุลิมาล เพราะมีพวงมาลัยคือนิ้วมือ,
ซึ่งโจรผู้มีพวงมาลัยคือนิ้วมือนั้น[3].
๗.
อิทฺธีภิสํขตมโน (อิทฺธิ + อภิสํขต + มน + สิ ปฐมาวิภัตติ)
พระจอมมุนีพุทธเจ้ามีพระหทัยกล่าวคือฌานจิต (คือ เข้าฌานสมาบัติ)
อันสร้างอิทธิฤทธิ์[4]
อิทฺธีภิสํขต (อิทฺธิ +
อภิสํขต ทีฆะ อิ ที่อิทฺธิ เป็นอี และ ลบ อ ที่อภิ. ตามหลักสนธิ เป็น อิทธีภิสงฺขต
กระทำ, ตกแต่งซึ่งฤทธิ์) + มน ใจ คือ ฌานจิต
อิทฺธีภิสงฺขโต ฌานจิตฺตสงฺขาโต
มโน ยสฺส โสยํ อิทฺธีภิสงฺขตมโน
พระหทัยกล่าวคือฌานจิต
อันสร้างอิทธิฤทธิ์ของพระจอมมุนีใด มีอยู่ พระจอมมุนีนี้ ชื่อว่า อิทฺธีภิสงฺขตมโน
ผู้ทรงมีพระหทัยกล่าวคือฌานจิตอันสร้างอิทธิฤทธิ์.[5]
***
แสดงการวิเคราะห์ศัพท์
ในคาถามีคำเริ่มต้นว่า อุกฺขิตฺตขคฺค
จบ
---
[1] คำนี้เป็นศัพท์ชนิดอนิปผันนปาฏิปทิกะ
ศัพท์ที่ไม่ได้สำเร็จจากธาตุหรือปัจจัย กล่าวคือ ไม่ต้องค้นหารากศัพท์ ดังนั้น
จึงใช้ตามคำพูดของชาวโลกที่ใช้คำนี้หมายถึงผู้ชำนาญการ ซึ่งใกล้เคียงกับศัพท์ว่า
กตหตฺถ ที่เป็นศัพท์มีความหมายว่า ชำนาญ, เชี่ยวชาญ ร่วมกับศัพท์อื่นๆ ๑๑ ศัพท์
คือ กตหตฺถ, กุสล, ปวีณ,
อภิญฺญ, สิกฺขิต, นิปุณ,
ปฏุ, เฉก, จาตุร,
ทกฺข, เปสล (ธาน.๗๒๐-๗๒๑)อภิธาน.๗๒๑-๗๒๒). ส่วน
คำว่า กตหตฺถ มีวิเคราะห์ว่า กโต อภฺยาสิโต หตฺโถ ปทตฺโถ เยน กตหตฺโถฯ ผู้มีหัตถ์ คือ อรรถบท อันทำแล้ว คือ
ไม่ต้องเข้าไปอาศัยแล้ว ชื่อว่ากตหัตถะ. (ธาน.ฏี.๗๒๒)
[2] อีกนัยหนึ่ง
มาจาก ทร ธาตุ มีอรรถว่า ภย กลัว หมายถึง ผู้น่ากลัว วิเคราะห์ว่า ทรียตีติ
ทารุโณ.ผู้อันบุคคลย่อมกลัว ชื่อว่า ทารุณ. ศัพท์นี้ ในคัมภีร์อภิธาน. คาถา ๑๖๗
ท่านจัดไว้ในกลุ่มศัพท์ที่มีความหมายว่า น่ากลัว ร่วมกับอีก ๘ ศัพท์ คือ เภรว,
ภีสน, ภีม, ทารุณ,
ภยานก, โฆร, ปฏิภย,
เภสฺม, ภยงฺกร.
[3] อนึ่ง
เนื่องจากเป็นบทตัทธิต จึงมีฐานะเป็นวิเสสนะเท่านั้น โดยเป็นวิเสสนะของบทว่า โจรํ
ซึ่งไม่ได้แสดงไว้ในคาถา นั้น แต่ตามบริบทนี้ ได้แก่ โจร ผู้มีนามว่า อหิงสกะ
แต่ได้ทัพพนาม (ชื่อที่สมมุติตามทัพพะคือนิ้วมือที่ห้อยคอดุจพวงดอกไม้) ว่า
อังคุลิมาละ เพราะเหตุนั้น จึงต้องโยค (ประกอบเพิ่มเข้ามา) บทว่า โจร โดยลง
ทุติยาวิภัตติในอรรถกรรม เป็น โจรํ เพื่อเป็นบทกรรมของ ชิตวา ได้ทรงชนะแล้ว.
[4] ในที่นี้ใช้เป็นบทกริยากิต
แต่ความหมายเหมือน อิทฺธาภิสงฺขาร ศัพท์
ที่เป็นบทนามกิตก์.
[5] ดูเพิ่มเติม.
สีล.อภิ.๒ ข้อ ๒๘๘.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น