วิเคราะห์ศัพท์ในคาถาพาหุง (๗/๘)
นนฺโทปนนฺทภุชคํ
วิพุธํ มหิทฺธึ
ปุตฺเตน
เถรภุชเคน ทมาปยนฺโต
อิทฺธูปเทสวิธินา
ชิตวา มุนินฺโท
ตนฺเตชสา ภวตุเต ชยมงฺคลานิ.
มุนินฺโท
พระจอมมุนีพุทธเจ้า เถรภุชเคน ทรงรับสั่งให้พระมหาโมคคัลลานเถระ
จำแลงกายเป็นนาคราช ปุตเตน ผู้พุทธบุตร ทมาปยนฺโต ทรมาน นนฺโทปนนฺทภุชคํ
นันโทปนันทะพระยานาคราช วิพุธํ ซึ่งมีความเห็นผิด มหิทฺธึ มีอิทธิฤทธิ์มาก ชิตวา
ทรงชนะ อิทฺธูปเทสวิธินา ด้วยวิธีคืออุปเทส (แนะนำ) ฤทธิ์แก่พระมหาโมคคัลลานะ. ตนฺเตชสา
ด้วยอานุภาพของพระพุทธชัยมงคลนั้น ชยมงฺคลานิ ขอชัยมงคล ภวตุ จงมี เต แก่ท่าน.
-----
๑๐
ชัยมงคลคาถาที่ ๗ นี้ ปรากฏในอรรถกถาเถรคาถา โมคคัลานเถรคาถาวัณณนา (บาฬีข้อ ๒๐
สัฏฐินิบาต) และอรรถกถาอปทาน โมคคัลลานเถรอปาทาน.
****
วิเคราะห์ศัพท์ในคาถาพาหุง
(๗/๘)
[๗]
นนฺโทปนนฺทภุชคํ วิพุธํ มหิทฺธึ
ปุตฺเตน
เถรภุชเคน ทมาปยนฺโต
อิทฺธูปเทสวิธินา
ชิตวา มุนินฺโท
ตนฺเตชสา ภวตุ เต
ชยมงฺคลานิ.
---
๑.นนฺโทปนนฺทภุชคํ (นนฺโทปนนฺท +
ภุชค + อํวิภัตติ) นาคราช ชื่อว่า นันโทปนันนทะ
๑.๑
นนฺโทปนนฺท นาคราช มีชื่อว่า นันโทปนันทะ
๑.๒ ภุชค
(ภุช + คมุ ธาตุ มีอรรถว่า ไป + กฺวิ) งู
ภุเชน คมตีติ
ภุชโค.
สัตว์ที่ไปด้วยอก
หมายถึง เลื้อยไป ได้แก่ งู
๑.๓ นนฺโทปนนฺโท
จ โส ภุชโค จาติ นนฺโทปนนฺทภุชโค, ตํ
นันโทปนันทะ ด้วย
นันโทปนันทะนั้นเป็นงู ด้วย ชื่อว่านนฺโทปนนฺทภุชโค, ซึ่งงูนันโทปนันทะนั้น.
ลง อํ ทุติยาวิภัตติ
เป็นบทกรรมในบทว่า ทมาปยนฺโต
๒. วิพุธํ (วิ + พุธ +
อํวิภัตติ) ผู้เห็นผิด, ผู้รู้ผิด เป็นวิเสสนะของบทว่า นนฺโท...ภุชคํ ในข้อที่ ๑
วิ = วิปริต
ผิดพลาด + พุธ ธาตุ มีอรรถว่า รู้ + อ ปัจจัย
วิปริเตน
พุชฺฌตีติ วิพุโธ.
ผู้รู้อย่างผิดเพี้ยน
ชื่อว่า วิพุโธ.
๓.มหิทฺธิํ
(มหนฺต + อิทฺธิ + อีอัสสัตถิตัทธิต + อํ ทุติยาวิภัตติ) ผู้มีฤทธิ์มาก
เป็นวิเสสนะของบทว่า นนฺโท..ภุชคํ ในข้อที่ ๑.
มหนฺตี จ สา อิทฺธิ จาติ มหิทฺธิ
ใหญ่ด้วย
ใหญ่นั้น เป็นฤทธิ์ ด้วย ชื่อว่า มหิทฺธิ
มหิทฺธิ อสฺส
อตฺถีติ มหิทฺธี
ฤทธิ์ใหญ่ของงูนี้มีอยู่
เหตุนั้น งูนี้ ชื่อว่า มหิทฺธี
๔.ปุตฺเตน (ปุตฺต + นา)
ยังบุตร ในที่นี้ ตติยาวิภัตติลงในอรรถการิตกรรม
๕.เถรภุชเคน
(เถร + ภุชค + นาวิภัตติ)[1]
พระเถระผู้ประเสริฐ
เถโร จ โส
ภุชโค เสฏฺโฐ จาติ เถรภุชโค
เถระ ด้วย เถระนั้น
ประเสริฐ ด้วย ชื่อว่า เถรภุชค พระเถระผู้ประเสริฐ.[2]
๖.
ทมาปยนฺโต (ทมุ ฝึก, กำราบ + ณาปย + อนฺตปัจจัย + สิปฐมาวิภัตติ)
เมื่อยังพระเถระผู้ประเสริฐ ... ให้ฝึกอยู่ ซึ่งนันโทปนันคนาคราช.
เป็นบทอัพภันตรกริยาใน ชิตวา
๗. อิทฺธูปเทสวิธินา (อิทฺธิ +
อุปเทส + วิธิ + นาตติยาวิภัตติ) ด้วยอุบายวิธีคือการบอกอนุญาตให้แสดงฤทธิ์
เป็นกรณะในบทว่า ชิตวา
อิทฺธิ ฤทธิ
อุปเทส (อุป+ทิสี
ธาตุ มีอรรถว่า สวดหรือกล่าว (อุจฺจารณ) +ณ,
ลบณฺ, วุทธิอิเป็นเอ) คำสั่งสอน. การชี้แจง, การบ่งชี้, การแนะนำ, การสั่งสอน
อาจริยํ
อุปคนฺตฺวา ทิสฺสติ อุจฺจารียตีติ อุปเทโส, (ธาน.ฏี.๔๑๒)
คำสั่งสอนที่เข้าไปหาอาจารย์แล้วจึงสวดชื่อว่า
อุปเทสะ
ในที่นี้ หมายถึง
ความชนะพระยานาคนันโทปนันทะด้วยคำสอนหรือคำอนุญาตให้พระเถระแสดงฤทธิ์ข่มพระยานาคราช
เพราะภิกษุผู้เป็นพระสาวกจะแสดงฤทธิ์ไม่ได้ เป็นอาบัติ. (อ่านในอรรถกถาเถรคาถา
โมคคัลานเถรคาถาวัณณนา (บาฬีข้อ ๒๐ สัฏฐินิบาต) และอรรถกถาอปทาน
โมคคัลลานเถรอปาทาน แล้วจักเข้าใจชัดขึ้น)
อิทฺธูปเทสวิธิ
ด้วยการสอน หรือ
อนุญาตให้พระเถระแสดงฤทธิ์เป็นวิธี
ลงนาตติยาวิภัตติ
เป็นกรณะ ในบทว่า ชิตวา
***
แสดงการวิเคราะห์ศัพท์
ในคาถามีคำเริ่มต้นว่า
นนฺโทปนนฺท จบ
---
[1] อีกนัยหนึ่ง
พระยานาคคือพระเถระ. เถรภูโต ภุชโค
เถรภุชโค พระยานาคคือพระเถระ ชื่อว่า
เถรภุชค. ข้อนี้หมายความว่า พระเถระนิรมิตกายเป็นพระยานาค ดังนั้น
พระยานาคนี้ที่จริงคือพระเถระนั่นเอง.
[2] ข้อนี้
หมายความว่า แม้ ภุชค ศัพท์เดิมจะหมายถึง งู ก็ตาม แต่ในที่นี้ หมายถึง
ผู้ประเสริฐ เพราะคำศัพท์ที่กล่าวถึงเดรัจฉาน
เมื่อเข้าสมาสแล้วกล่าวอรรถว่าประเสริฐ เช่น นราสโภ ชนประเสริฐ, มุนิปุงฺคโว พระมุนีประเสริฐ, พุทฺธนาโค
พระพุทธเจ้าประเสริฐ เป็นต้นดังนั้น ในที่นี้ จึงมีความหมายว่า พระเถระผู้ประเสริฐ
ดังข้อความในคัมภีร์อภิธานนัปปทีปิกา คาถาที่ ๖๙๖ ความว่า
สมาสคา
เสฏฺฐตฺถวาจกา สีหกุญฺชรสทฺทูลาที ปุเม วตฺตนฺติ. อมรโกเส ปน นาโคสภปุงฺควานํ
สมาสคตฺเตเยว อุตฺตมตฺถวาจกตา วุตฺตา, วุตฺตญฺจ –
‘‘อุตฺตรสฺมิํ
ปเท พฺยคฺฆ- ปุงฺคโว’สภกุญฺชรา;
สีหสทฺทูลนาคาทฺยา, ปุเม เสฏฺฐตฺถโคจรา’’ติ [อมร ๒๑.๕๙]ฯ
ตสฺสตฺโถ – พฺยคฺฆาทโย กมฺมธารยสมาเส สติ อุตฺตรปทีภูตา เสฏฺฐตฺถวิสยา ปุพฺพปทสฺส
เสฏฺฐตฺถวาจกา ปุลฺลิงฺคา จ ภวนฺติ, ยถา ‘‘ปุริสพฺยคฺโฆ, มุนิปุงฺคโว’’อิจฺจาทิฯ
สีหาทโย, อาทินา วราหปุณฺฑรีกโธรยฺหโสวีราทโย
จ สมาสคา กมฺมธารยสมาเส อุตฺตรปทภูตา เสฏฺฐตฺถวาจกา ปุเมว ภวนฺติ, ยถา ‘‘สกฺยสีโห, กวิกุญฺชโร,
ปุริสสทฺทูโล, ปุริสวราโห’’อิจฺจาทิฯ (ธาน.ฏี.๖๙๖)
สีห ศัพท์
กุญฺชรศัพท์ และสทฺทูลศัพท์เป็นต้นที่เป็นไปในบทสมาสใช้ในปุงลิงค์
ทกล่าวอรรถประเสริฐ. อนึ่ง ในคัมภีร์อมรโกอภิธาน
ท่านก็กล่าวความที่ศัพท์ที่แสดงสัตว์ป่าสี่เท้าคือ นาค, อุสภ และปุงคว
กล่าวอรรถว่า “อุตฺต สูงสุด, ประเสริฐ” ดังช้อความที่ท่านกล่าวไว้
(ในคัมภีร์อมรโกสอภิธานนั้น) ว่า
อุตฺตรสฺมิํ
ปเท พฺยคฺฆ -ปุงฺคโว’สภกุญฺชรา;
สีหสทฺทูลนาคาทฺยา, ปุเม เสฏฺฐตฺถโคจรา’’ติ [อมร ๒๑.๕๙]ฯ
พฺยคฺฆ ปุงฺคว, อุสภ
กุญฺชร สีห สทฺทูลและนาคศัพท์ เป็นต้น
ที่มีในบทหลัง (แห่งกัมมธารยสมาส) ย่อมเป็นที่เที่ยวไปแห่งอรรถว่า “ประเสริฐ”
ในปุงลิงค์.
คาถานี้มีความหมายว่า
เมื่อกัมมธารยสมาสมีอยู่ พยคฺฆศัพท์เป็นต้น อันเป็นมีในบทหลัง
จะเป็นที่ตั้งแห่งอรรถว่า เสฏฺฐ (ประเสริฐ) คือ กล่าวเนื้อความว่า
ประเสริฐแห่งบทหน้า และย่อมเป็นปุงลิงค์, ตัวอย่างเช่น ปุริสพฺยคฺโฆ
บุรุษประเสริฐ, มุนิปุงฺคโว พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ, นราสโภ มนุษย์ผู้ประเสริฐ,
มุนิกุญชโร พระมุนีผู้ประเสริฐ, นรสีโห มนุษย์ผู้ประเสริฐ เป็นต้น. อาทิศัพท์
รวามเอา วราห, ปุณฺฑรีก, โธรยฺห, โสวีร เป็นต้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น