วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2568

๕๒ อุทรสํยตปญฺโห ปัญหาเกี่ยวกับความเป็นผู้สำรวมในท้อง

 

๕. สนฺถววคฺโค

กลุ่มปัญหามีสันถวปัญหาเป็นลำดับแรก

๒. อุทรสํยตปญฺโห

ปัญหาเกี่ยวกับความเป็นผู้สำรวมในท้อง

. ‘‘ภนฺเต นาคเสน, ภาสิตมฺเปตํ ภควตา

‘‘‘อุตฺติฏฺเฐ นปฺปมชฺเชยฺย, อุทเร สํยโต สิยาติฯ

‘‘ปุน จ ภควตา ภณิตํ อหํ โข ปนุทายิ, อปฺเปกทา อิมินา ปตฺเตน สมติตฺติกมฺปิ ภุญฺชามิ, ภิยฺโยปิ ภุญฺชามีติฯ

มิลินฺโท ราชา พระเจ้ามิลินท์ อาห ตรัสแล้ว อิติ ว่า นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสน ภนฺเต ผู้เจริญ เอตํ วจนํ พระดำรัสนี้ ภควตา อันพระผู้มีพระภาค ภณิตํ ตรัสแล้ว อิติ ว่า ภิกฺขุ ภิกษุ นปฺปมชฺเชยฺย ไม่พึงประมาท อุตฺติฏฺเฐ ในบิณฑบาต[1], สํยโต เป็นผู้สำรวม อุทเร ในท้อง[2] สิยา พึงเป็น ดังนี้. และ เอตํ วจนํ พระพุทธพจน์นี้ ภควตา อันพระผู้มีพระภาค ภณิตํ ทรงแสดงไว้ ปุน อีก อิติ ว่า อุทายิ อุทายี[3] ปน ก็ อปฺเปกทา ในกาลบางคราว อหํ โข เรา ภุญฺชามิ ฉัน สมติตฺติกมฺปิ เสมอปากบาตรบ้าง, ภุญฺชามิ ฉัน ภิยฺโยปิ มากกว่าบ้าง ดังนี้

 

ยทิ, ภนฺเต นาคเสน, ภควตา ภณิตํอุตฺติฏฺเฐ นปฺปมชฺเชยฺย, อุทเร สํยโต สิยาติ, เตน หิ อหํ โข ปนุทายิ, อปฺเปกทา อิมินา ปตฺเตน สมติตฺถิกมฺปิ ภุญฺชามิ, ภิยฺโยปิ ภุญฺชามีติ ยํ วจนํ, ตํ มิจฺฉาฯ ยทิ ตถาคเตน ภณิตํ อหํ โข ปนุทายิ, อปฺเปกทา อิมินา ปตฺเตน สมติตฺถิกมฺปิ ภุญฺชามิ, ภิยฺโยปิ ภุญฺชามีติ, เตน หิ อุตฺติฏฺเฐ นปฺปมชฺเชยฺย, อุทเร สํยโต สิยาติ ตมฺปิ วจนํ มิจฺฉาฯ อยมฺปิ อุภโต โกฏิโก ปญฺโห ตวานุปฺปตฺโต, โส ตยา นิพฺพาหิตพฺโพ’’ติฯ

ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ ยทิ ถ้าว่า เอตํ วจนํ พระดำรัสนี้ ภควตา อันพระผู้มีพระภาค ภณิตํ ตรัสแล้ว อิติ ว่า ภิกฺขุ ภิกษุ นปฺปมชฺเชยฺย ไม่พึงประมาท อุตฺติฏฺเฐ ในบิณฑบาต, สํยโต เป็นผู้สำรวม อุทเร ในท้อง สิยา พึงเป็น ดังนี้ ไซร้, เตน หิ ถ้าอย่างนั้น ยํ วจนํ คำใด ภควตา อันพระผู้มีพระภาค ภณิตํ ทรงแสดงไว้ อิติ ว่า ปน ก็ อปฺเปกทา ในกาลบางคราว อหํ โข เรา ภุญฺชามิ ฉัน สมติตฺติกมฺปิ เสมอปากบาตรบ้าง, ภุญฺชามิ ฉัน ภิยฺโยปิ มากกว่าบ้าง ดังนี้ ตํ วจนํ คำนั้น มิจฺฉา ผิด ยทิ ถ้าว่า เอตํ วจนํ พระดำรัสนี้ ภควตา อันพระผู้มีพระภาค ภณิตํ ตรัสแล้ว อิติ ว่า ปน ก็ อปฺเปกทา ในกาลบางคราว อหํ โข เรา ภุญฺชามิ ฉัน สมติตฺติกมฺปิ เสมอปากบาตรบ้าง, ภุญฺชามิ ฉัน ภิยฺโยปิ มากกว่าบ้าง ดังนี้ ไซร้, ตมฺปิ วจนํ แม้คำนั้น อิติ ว่า ภิกฺขุ ภิกษุ นปฺปมชฺเชยฺย ไม่พึงประมาท อุตฺติฏฺเฐ ในบิณฑบาต, สํยโต เป็นผู้สำรวม อุทเร ในท้อง สิยา พึงเป็น ดังนี้ มิจฺฉา ผิด. อยมฺปิ ปญฺโห ปัญหาแม้นี้ โกฏิโก มีเงื่อนงำ อุภโต โดยส่วนสอง อนุปฺปตฺโต ตกถึงแล้ว ตว แก่ท่าน, โส ปญฺโห ปัญหานั้น ตยา ท่าน นิพฺพาหิตพฺโพ พึงคลี่คลาย ดังนี้[4].

 

‘‘ภาสิตมฺเปตํ, มหาราช, ภควตา อุตฺติฏฺเฐ นปฺปมชฺเชยฺย, อุทเร สํยโต สิยาติ, ภณิตญฺจ อหํ โข ปนุทายิ, อปฺเปกทา อิมินา ปตฺเตน สมติตฺติกมฺปิ ภุญฺชามิ, ภิยฺโยปิ ภุญฺชามีติฯ ยํ, มหาราช, ภควตา ภณิตํอุตฺติฏฺเฐ นปฺปมชฺเชยฺย, อุทเร สํยโต สิยาติ, ตํ สภาววจนํ อเสสวจนํ นิสฺเสสวจนํ นิปฺปริยายวจนํ ภูตวจนํ ตจฺฉวจนํ ยาถาววจนํ อวิปรีตวจนํ อิสิวจนํ มุนิวจนํ ภควนฺตวจนํ อรหนฺตวจนํ ปจฺเจกพุทฺธวจนํ ชินวจนํ สพฺพญฺญุวจนํ ตถาคตสฺส อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส วจนํฯ

นาคเสโน เถโร พระนาคเสนเถระ อาห ทูลตอบแล้ว อิติ ว่า มหาราช มหาบพิตร เอตมฺปิ วจนํ แม้คำนี้ ตถาคเตน อันพระตถาคต ภณิตํ ตรัสแล้ว อิติ ว่า ภิกฺขุ ภิกษุ นปฺปมชฺเชยฺย ไม่พึงประมาท อุตฺติฏฺเฐ ในบิณฑบาต, สํยโต เป็นผู้สำรวม อุทเร ในท้อง สิยา พึงเป็น ดังนี้, และ วจนํ คำนี้ ตถาคเตน อันพระตถาคต ภณิตํ ตรัสแล้ว อิติ ว่า ปน ก็ อปฺเปกทา ในกาลบางคราว อหํ โข เรา ภุญฺชามิ ฉัน สมติตฺติกมฺปิ เสมอปากบาตรบ้าง, ภุญฺชามิ ฉัน ภิยฺโยปิ มากกว่าบ้าง ดังนี้ จริง, มหาราช มหาบพิตร ยํ วจนํ คำใด ภควตา อันพระผู้มีพระภาค ภณิตํ ทรงแสดงไว้ อิติ ว่า ภิกฺขุ ภิกษุ นปฺปมชฺเชยฺย ไม่พึงประมาท อุตฺติฏฺเฐ ในบิณฑบาต, สํยโต เป็นผู้สำรวม อุทเร ในท้อง สิยา พึงเป็น ดังนี้, ตํ วจนํ คำนั้น สภาววจนํ เป็นคำแสดงความมีอยู่จริง, อเสสวจนํ เป็นคำกล่าวโดยไม่มีส่วนหลงเหลือ นิสฺเสสวจนํ เป็นคำกล่าวโดยทั้งหมดไม่มีเหลือ นิปฺปริยายวจนํ เป็นคำกล่าวโดยไม่อ้อมค้อม, ภูตวจนํ เป็นคำจริง ตจฺฉวจนํ เป็นคำแท้ ยาถาววจนํ เป็นคำกล่าวไปตามความเป็นจริง อวิปรีตวจนํ เป็นคำพูดที่ไม่วิปริต อิสิวจนํ เป็นคำพูดของท่านผู้เป็นฤาษี มุนิวจนํ เป็นคำพูดของท่านผู้เป็นมุนี ภควนฺตวจนํ เป็นคำพูดของพระผู้มีพระภาค อรหนฺตวจนํ เป็นคำพูดของพระอรหันต์ ปจฺเจกพุทฺธวจนํ เป็นคำพูดของพระปัจเจกพุทธเจ้า  ชินวจนํ เป็นคำพูดของพระชินเจ้า สพฺพญฺญุวจนํ เป็นคำพูดของพระสัพพัญญู ตถาคตสฺส อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส วจนํ เป็นคำพูดของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า[5]

 

‘‘อุทเร อสํยโต, มหาราช, ปาณมฺปิ หนติ, อทินฺนมฺปิ อาทิยติ, ปรทารมฺปิ คจฺฉติ, มุสาปิ ภณติ, มชฺชมฺปิ ปิวติ, มาตรมฺปิ ชีวิตา โวโรเปติ, ปิตรมฺปิ ชีวิตา โวโรเปติ, อรหนฺตมฺปิ ชีวิตา โวโรเปติ, สงฺฆมฺปิ ภินฺทติ, ทุฏฺเฐน จิตฺเตน ตถาคตสฺส โลหิตมฺปิ อุปฺปาเทติฯ นนุ, มหาราช, เทวทตฺโต อุทเร อสํยโต สงฺฆํ ภินฺทิตฺวา กปฺปฏฺฐิยํ กมฺมํ อายูหิ ฯ เอวรูปานิ, มหาราช, อญฺญานิปิ พหุวิธานิ การณานิ ทิสฺวา ภควตา ภณิตํ อุตฺติฏฺเฐ นปฺปมชฺเชยฺย, อุทเร สํยโต สิยาติฯ

มหาราช มหาบพิตร   ปุคฺคโล บุคคล  อสํยโต ผู้ไม่สำรวมแล้ว อุทเร ในท้อง หนติ ย่อมฆ่า ปาณมฺปิ ซึ่งสัตว์ บ้าง, อาทิยติ ย่อมถือเอา อทินฺนมฺปิ ซึ่งสิ่งของอันเขาไม่ให้ บ้าง, คจฺฉติ ย่อมถึง ปรทารมฺปิ  ซึ่งภรรยาของผู้อื่น บ้าง, ภณติ ย่อมกล่าว มุสาปิ เท็จ บ้าง, ปิวติ ย่อมดื่ม มชฺชมฺปิ ซึ่งน้ำดื่มเป็นเหตุให้บุคคลผู้ดื่มแล้วเป็นผู้เมา (ของมึนเมา) [6] บ้าง โวโรเปติ ย่อมปลงลง มาตรมฺปิ ซึ่งมารดา ชีวิตา จากชีวิต บ้าง โวโรเปติ ย่อมปลงลง ปิตรมฺปิ ซึ่งบิดา ชีวิตา จากชีวิต บ้าง, โวโรเปติ ย่อมปลงลง อรหนฺตมฺปิ ซึ่งพระอรหันต์ ชีวิตา จากชีวิต บ้าง ภินฺทติ ย่อมทำลาย สงฺฆมฺปิ ซึ่งสงฆ์ บ้าง, ทุฏฺเฐน จิตฺเตน มีจิตอันกิเลสประทุษร้ายแล้ว โลหิตมฺปิ ยังโลหิต ตถาคตสฺส ของพระตถาคต อุปฺปาเทติ ย่อมให้ห้อขึ้น บ้าง. มหาราช มหาบพิตร เทวทตฺโต พระเทวทัต อสํยโต ไม่สำรวมแล้ว อุทเร ในท้อง ภินฺทิตฺวา ทำลายแล้ว สงฺฆํ ซึ่งสงฆ์ อายูหิ ประมวลแล้ว (คือ กระทำ) กมฺมํ ซึ่งกรรม กปฺปฏฺฐิยํ อันตั้งอยู่ตลอดกัป. มหาราช มหาบพิตร  เอตํ วจนํ คำนี้ ภควตา อันพระผู้มีพระภาค ทิสฺวา ทรงเห็นแล้ว การณานิ ซึ่งเหตุทั้งหลาย พหุวิธานิ หลายประการ อญฺญานิปิ แม้เหล่าอื่น เอวรูเปน เห็นปานฉะนี้  ภณิตํ จึงทรงแสดง อิติ ว่า ภิกฺขุ ภิกษุ นปฺปมชฺเชยฺย ไม่พึงประมาท อุตฺติฏฺเฐ ในบิณฑบาต, สํยโต เป็นผู้สำรวม อุทเร ในท้อง สิยา พึงเป็น ดังนี้[7]

 

‘‘อุทเร สํยโต, มหาราช, จตุสจฺจาภิสมยํ อภิสเมติ, จตฺตาริ สามญฺญผลานิ สจฺฉิกโรติ, จตูสุ ปฏิสมฺภิทาสุ อฏฺฐสุ สมาปตฺตีสุ ฉสุ อภิญฺญาสุ วสีภาวํ ปาปุณาติ, เกวลญฺจ สมณธมฺมํ ปูเรติฯ นนุ, มหาราช, สุกโปตโก อุทเร สํยโต หุตฺวา ยาว ตาวติํสภวนํ กมฺเปตฺวา สกฺกํ เทวานมินฺทํ อุปฏฺฐานมุปเนสิ, เอวรูปานิ, มหาราช, อญฺญานิปิ พหุวิธานิ การณานิ ทิสฺวา ภควตา ภณิตํ อุตฺติฏฺเฐ นปฺปมชฺเชยฺย, อุทเร สํยโต สิยาติฯ

มหาราช มหาบพิตร ปุคฺคโล บุคคล สํยโต ผู้สำรวมแล้ว อุทเร ในท้อง อภิสเมติ ย่อมตรัสรู้ จตุสจฺจาภิสมยํ ซึ่งการแทงตลอดซึ่งสัจจะ ๔ ปาปุณาติ ย่อมถึง วสีภาวํ ซึ่งวสีภาวะ จตูสุ ปฏิสมฺภิทาสุ ในปฏิสัมภิทาทั้งหลาย สี่ อฏฺฐสุ สมาปตฺตีสุ ในสมาบัติทั้งหลาย แปด ฉสุ อภิญฺญาสุ ในอภิญญาทั้งหลาย หก, สมณธมฺมํ ยังสมณธรรม เกวลญฺจ ทั้งสิ้น ด้วย ปูเรติ ย่อมให้เต็ม, มหาราช มหาบพิตร สุกโปตโก นกแขกเต้าน้อย สํยโต หุตฺวา เป็นผู้สำรวมแล้ว อุทเร ในท้อง (โลกํ) ยัง ยาว ตาวติํสภวนํ เพียงไรซึ่งภพดาวดึงส์ กมฺเปตฺวา ให้ไหวแล้ว สกฺกํ เทวานมินฺทํ ยังท้าวสักกะจอมเทพ อุปเนสิ ให้เข้าไปแล้ว อุปฏฺฐานํ สู่ที่บำรุง[8] นนุ มิใช่หรือ มหาราช มหาบพิตร  เอตํ วจนํ คำนี้ ภควตา อันพระผู้มีพระภาค ทิสฺวา ทรงเห็นแล้ว การณานิ ซึ่งเหตุทั้งหลาย พหุวิธานิ หลายประการ อญฺญานิปิ แม้เหล่าอื่น เอวรูเปน เห็นปานฉะนี้  ภณิตํ จึงทรงแสดง อิติ ว่า ภิกฺขุ ภิกษุ นปฺปมชฺเชยฺย ไม่พึงประมาท อุตฺติฏฺเฐ ในบิณฑบาต, สํยโต เป็นผู้สำรวม อุทเร ในท้อง สิยา พึงเป็น ดังนี้

 

‘‘ยํ ปน, มหาราช, ภควตา ภณิตํ อหํ โข ปนุทายิ อปฺเปกทา อิมินา ปตฺเตน สมติตฺติกมฺปิ ภุญฺชามิ, ภิยฺโยปิ ภุญฺชามีติ, ตํ กตกิจฺเจน นิฏฺฐิตกิริเยน สิทฺธตฺเถน วุสิตโวสาเนน นิราวรเณน สพฺพญฺญุนา สยมฺภุนา ตถาคเตน อตฺตานํ อุปาทาย ภณิตํฯ

มหาราช มหาบพิตร ปน ก็ ยํ วจนํ คำใด ภควตา อันพระผู้มีพระภาค ภณิตํ ตรัสแล้ว อิติ ว่า ปน ก็ อปฺเปกทา ในกาลบางคราว อหํ โข เรา ภุญฺชามิ ฉัน สมติตฺติกมฺปิ เสมอปากบาตรบ้าง, ภุญฺชามิ ฉัน ภิยฺโยปิ มากกว่าบ้าง ดังนี้, ตํ วจนํ คำนั้น ตถาคเตน อันพระตถาคต กตกิจฺเจน ผู้ทรงมีกิจอันทำแล้ว นิฏฺฐิตกิริเยน มีกรรมอันบุคคลพึงทำเสร็จแล้ว สิทฺธตฺเถน มีประโยชน์อันสำเร็จแล้ว วุสิตโวสาเนน มีอรหัตตมรรคญาณเป็นที่จบลงแห่งกิเลสทั้งปวงอันอยู่แล้ว[9] นิราวรเณน มีธรรมเครื่องกางกั้นออกแล้ว สพฺพญฺญุนา ผู้เป็นพระสัพพัญญู สยมฺภุนา เป็นพระสยัมภู ภณิตํ ตรัสแล้ว อุปาทาย ทรงหมายเอา อตฺตานํ ซึ่งพระองค์[10]

 

‘‘ยถา, มหาราช, วนฺตสฺส วิริตฺตสฺส อนุวาสิตสฺส อาตุรสฺส สปฺปายกิริยา อิจฺฉิตพฺพา โหติ, เอวเมว โข, มหาราช, สกิเลสสฺส อทิฏฺฐสจฺจสฺส อุทเร สํยโม กรณีโย โหติฯ ยถา, มหาราช, มณิรตนสฺส สปฺปภาสสฺส ชาติมนฺตสฺส อภิชาติปริสุทฺธสฺส มชฺชนนิฆํสนปริโสธเนน กรณียํ น โหติ, เอวเมว โข, มหาราช, ตถาคตสฺส พุทฺธวิสเย ปารมิํ คตสฺส กิริยากรเณสุ อาวรณํ น โหตี’’ติฯ

มหาราช มหาบพิตร สปฺปายกิริยา กิจพึงทำที่เหมาะสม อิจฺฉิตพฺพา เป็นกิจอันพึงปรารถนา วนฺตสฺส แห่งบุคคลอาเจียน[11] วิริตฺตสฺส ถ่ายอยู่  อนุวาสิตสฺส เบาอยู่, อาตุรสฺส  แห่งบุคคลผู้เป็นไข้ โหติ ย่อมมี ยถา ฉันใด, มหาราช มหาบพิตร สํยโม การสำรวม อุทเร ในท้อง สกิเลสสฺส ของบุคคลผู้มีกิเลส อทิฏฺฐสจฺจสฺส ผู้มีสัจจะยังไม่เห็นแล้ว กรณีโย พึงกระทำ โหติ ย่อมมี เอวเมว โข ฉันนั้นนั่นเทียว, มหาราช มหาบพิตร กรณียํ กิจอันพึงทำ มชฺชนนิฆัสนปริโสธเนน ด้วยการขัดสี เจียรนัย ทำให้บริสุทธิ์  มณิรตนสฺส แห่งแก้วมณี สปฺปภาสสฺส เป็นไปกับด้วยแสงรุ่งเรือง ชาติมนฺตสฺส มีค่า อภิชาตปริสุทฺธสฺส หมดจดแล้วโดยอภิชาต[12]  น โหติ ย่อมไม่มี ยถา ฉันใด,มหาราช มหาบพิตร อาวรณํ การกางกัน กิริยากรเณสุ ในการทำกิจ ตถาคตสฺส แห่งพระตถาคต คตสฺส ผู้ถึงแล้ว ปารมิํ ซึ่งความเต็มเปี่ยม พุทฺธวิสเย ในพุทธวิสัย น โหติ ย่อมไม่มี เอวเมว โข ฉันนั้นนั่นเทียว แล

 

‘‘สาธุ, ภนฺเต นาคเสน, เอวเมตํ ตถา สมฺปฏิจฺฉามี’’ติฯ

มิลินฺโท ราชา พระเจ้ามิลินท์ อาห ตรัสแล้ว อิติ ว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ สาธุ พระคุณเจ้าวิสัชนาชอบแล้ว, อหํ ข้าพเจ้า สมฺปฏิจฺฉามิ ยอมรับ เอตํ ซึ่งคำนั้น ตถา โดยประการที่พระคุณเจ้ากล่าวมา เอวํ อย่างนี้ ดังนี้

 

อุทรสํยตปญฺโห ทุติโยฯ

สนฺถวปญฺโห อุทรสังยตปัญหา ปฐโม ลำดับที่สอง

นิฏฺฐิโต จบแล้ว



[1] คำเดิมมาจาก อุ = อุฏฺฐเปตฺวา ลุกขึ้น + ฐา ธาตุ ลุกขึ้น = ตฺวา > อุฏฺติฏฺเฐ  ความหมายตามศัพท์ แปลว่า ลุกขึ้นยืน แต่ไม่ถือเอาตามรูปศัพท์ กลับใช้เป็นคำย่อมาจาก อุฏฺฐเปตฺวา ปเรสํ ฆรทฺวาเร ฐตฺวา คเหตพฺพปิณฺเฑ ในบิณฑบาตที่ลุกขึ้นยืนรับที่ประตูบ้านของผู้อื่น. อีกนัยหนึ่ง มีความหมายว่า อุทฺทิสฺส ปิณฺฑาย ติฏฺฐเน ในการเจาะจงยืนเพื่อรับบิณฑบาต (โดยนัยแห่งสารัตถทีปนี.) คำนี้ถือเป็นรูฬหี (รูฬหี คือ เป็นศัพท์ที่ละทิ้งความหมายเดิมแล้วยกขึ้นสู่ความหมายอื่น) ดังนั้น ในที่นี้จึง หมายเอา บิณฑบาต. แต่พจนานุกรมบาลีไทยอังกฤษฉบับภูมิพโล อรรถาธิบายเป็น อุจฺฉิฏฺฐ แปลว่า เหลือ, ขว้างทิ้ง แม้สารัตถทีปนีฏีกาก็เช่นกัน อธิบายว่า อุจฺฉฏฺฐ และ อุตฺติฏฺฐ มีความเท่ากัน โดยนัยนี้ คำว่า ก้อนข้าว (ปิณฺฑ) จึงหมายถึง อาหารที่เขาทิ้งแล้ว  กล่าวคือเป็นของที่เจ้าของสละแล้ว ไม่มีอาลัยในอาหารเหล่านั้น. ก็ภิกษุเมื่อละเลยวัตรปฏิบัติที่ควรทำเกี่ยวกับการเที่ยวบิณฑบาต มุ่งแต่จะแสวงหาของกินที่ประณีต ที่ตนเข้าไปยืนอยู่ที่ประตูเรือนของผู้อื่น แล้วรับเอามา ชื่อว่ามีความประมาทบิณฑบาตที่ตนยืนรับ ภิกษุไม่ควรมีความประมาทที่เป็นเช่นนี้

[2] ควรเป็นผู้สำรวมท้อง ความว่า เมื่อแสวงหาอาหาร ก็ไม่มุ่งแสวงหาแต่ที่ประณีต ยินดีในอาหารเท่าที่มี เท่าที่ได้มา ได้มาแล้วก็บริโภคเพียงเพื่อให้กายนี้ตั้งอยู่ได้เท่านั้น เป็นต้น ก็ชื่อว่า เป็นผู้สำรวมท้อง

[3] อุทายี เป็นชื่อของปริพาชกผู้หนึ่ง ชื่อเต็มว่า สกุลุทายี

[4] เมื่อตรัสแนะนำว่า ควรเป็นผู้สำรวมท้องอย่างนี้แล้ว พระองค์เองก็ไม่น่าจะเสวยพระกระยาหารตามความพอพระทัย คือ บางคราว ก็เสมอขอบปากบาตร คือ เต็มบาตรหนึ่งพอดี บางคราวก็ยิ่งกว่า คือ เกินบาตรหนึ่ง

[5] คำว่า ควรเป็นผู้สำรวมท้อง นี้ เป็นคำตรัสไปตามสภาวะความเป็นจริง ที่เป็นสาธารณะแก่บุคคลผู้ยังไม่ตรัสรู้ธรรม เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นปัจจัยแห่งการตรัสรู้ธรรม

[6] มชฺชนฺติ ตทุภยเมว มทฺทนิยฏฺเฐน มชฺชํ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ กิญฺจิ อตฺถิ มทนิยํ, เยน ปีเตน มตฺโต โหติ ปมตฺโตติ อิทํ วุจฺจติ มชฺชํ (ขุ.ป.อฏฺ. ๑๗) มชฺชนฺเต เยน มชฺชํ, (มท อุมฺมาเท + ย แปลง ทฺย เป็น ชฺช) ทั้งสุราและเครื่องดอง ชื่อว่า มัชชะ เพราะเป็นเหตุให้เมา, ก็หรือว่า เครื่องดื่มอื่นอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเป็นเหตุให้เมาได้ มีอยู, บุคคล เป็นผู้เมาแล้ว มึนเมาแล้ว ด้วยเครื่องดื่มใด เครื่องดื่มนั้น เรียกว่า มัชชะ ของมึนเมา

[7] คำว่า บุคคลผู้ไม่สำรวมท้อง ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง เป็นต้น เป็นคำกล่าวถึงความเป็นปัจจัยกันไปตามลำดับ จับตั้งแต่มีความไม่สำรวมท้อง อย่างนี้ คือ เพราะไม่มีความสำรวมท้องอย่างนี้ คือ เพราะไม่มีความสำรวมท้อง ก็ย่อมบริโภคอาหารตราบเท่าที่ต้องการจนเต็มท้อง ก็ย่อมเกิดอาการมึนซึม โงกง่วง อึดอัด เพราะเกิดการมึนซึม โงกง่วง อึดอัด ก็ย่อมปรารถนาสุขในการเอน ในการหลับ เพราะปรารถนาสุขในการเอน ในการหลับ ก็ย่อมถูกความเกียจคร้านครอบงำ ไม่ปรารภความเพียรในอธิกุศล เพราะไม่ปรารภความเพียรในอธิกุศล จิตไม่ได้รับการอบรม ก็ย่อมพล่านไปด้วยความดำริชั่วทั้งหลาย มีกามวิตกเป็นต้น จิตใจที่มีแต่ความดำริชั่วครอบงำ ย่อมน้อมไปเพื่อการทำกรรมชั่วทั้งหลาย มีการฆ่าสัตว์เป็นต้น ได้โดยง่าย ความว่า ผู้มีปกติประพฤติทุศีลทั้งหลาย ล้วนเป็นผู้ไม่รู้จักสำรวมท้อง ส่วนความประพฤติเป็นไปเกี่ยวกับการสำรวมท้อง เป็นเหตุให้ตรัสรู้ธรรมได้นั้น บัณฑิตพึงทราบโดยประการตรงข้าม ความว่า แม้ชีวิตก็มีความเยื่อใยเสน่หาน้อยนัก ไม่เห็นมีสาระที่น่าปรารถนา จนถึงกับต้องคอยปรนเปรอ บริโภคอาหารตามที่ปรารถนา ทว่า บริโภคเพียงเพื่อให้กายนี้พอจะดำรงอยู่ได้ต่อไปเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ไฉนจะเกิดความเยื่อใยเสน่หาในวัตถุภายนอกเสียมากมาย จนกระทั่งยอมประพฤติทุศีลทั้งหลายเล่า ก็มีแต่จะตั้งตนอยู่ในความเป็นคนมีศีลดีเท่านั้น ซึ่งข้อนั้นย่อมเป็นเหตุให้เจริญกุศลได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนแม้ตรัสรู้ธรรมเป็นต้นได้ เพราะกุศลทั้งหลาย มีศีลเป็นที่ตั้งอาศัย แล

[8] เรื่อง นกแขกเต้าผู้สำรวมท้อง ปรากฏอยู่ในอรรถกถาชาดก มีเรื่องเล่าว่า ในกาลที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นนกแขกเต้า ได้บำเพ็ญตบะโดยการอธิษฐานการอยู่ประจำ ณ สถานที่เดียว ไม่หลีกไปที่อื่น ตลอดกาลที่ได้กำหนดไว้ นกแขกเต้านั้น ได้อาศัยอาหารเท่าที่พอหาได้ ที่มีอยู่รอบ ๆ ตัว เท่านั้น ไม่ยอมแสวงหายังที่อื่น ๆ แม้เมื่ออาหารนั้นหมดไป ก็ยอมอดอยากอยู่ ณ ที่นั้นนั่นแหละ ไม่ยอมทำลายอธิษฐาน ตบะข้อนี้ เป็นเหตุทำพระทัยของท่านท้าวสักกะให้หวั่นไหว จนต้องเสด็จลงมาทำนุบำรุง

[9] ตามนัยแห่งอรรถกถาธรรมบท ตมหํ สพฺเพสํ กิเลสานํ โวสานํ อรหตฺตมคฺคญาณํ พฺรหฺมจริยวาสํ วุตฺถภาเวน สพฺพโวสิตโวสานํ พฺราหฺมณํ วทามีติฯ เราเรียกบุคคลผู้มีการอยู่อันอยู่แล้วทั้งปวง โดยภาวะที่อยู่พรหมจรรย์จบแล้ว อันเป็นที่สุดลงแห่งกิเลสทั้งปวง คือ อรหัตตมรรคญาณ ว่าเป็นพราหมณ์ (ธป.อฏฺ.๔๒๓ เทวหิตพราหมณ์ พราหมณวรรค)เราเรียกบุคคลนั้นซึ่งชื่อว่ามีพรหมจรรย์อยู่เสร็จสรรพแล้ว     เพราะความเป็นผู้อยู่จบพรหมจรรย์    อันเป็นที่สุดแห่งกิเลสทั้งสิ้น  คือพระอรหัตมรรคญาณว่า  เป็นพราหมณ์.

[10] คำว่า บางครั้ง เราฉันบิณฑบาตเสมอขอบปากบาตร เป็นต้น มิได้เป็นคำตรัสเพื่อประโยชน์แก่ความเป็นปัจจัยแห่งการตรัสรู้ธรรม แห่งบุคคลผู้ยังไม่ตรัสรู้ ทว่า เป็นคำตรัสที่แสดงปฏิปทาของพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้ไม่ทรงมีกิจที่ต้องทำอะไรเพื่อการตรัสรู้ธรรม ซึ่งแม้ไม่ทรงมีตัณหา ความอยากในพระกระยาหารเลย โดยประการทั้งปวง ก็เสวยเต็มขอบปากบาตรบ้าง เกินบาตรหนึ่งบ้าง ราวกะว่าเสวยตามความพอพระทัย ตราบเท่าที่ทรงต้องการ ฉะนั้น ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์แก่การอนุเคราะห์เวไนยสัตว์ เพื่อประโยชน์แก่การจะทรงทำชนผู้ยังไม่เกิดศรัทธา ได้เกิดศรัทธา ทำชนผู้เกิดศรัทธาแล้ว ให้มีศรัทธาตั้งมั่นอยู่ได้

[11] บทว่า วนฺตสฺส เป็นต้น ฏีกามิลินท์อธิบายว่า วนฺตสฺส = เวชฺเชน วมาเปตพฺพสฺส ผู้อันหมอพึงให้อาเจียน, วิริตฺตสฺส = อโธ วิริตฺตสฺส อุจจาระร่วง, อนุวาสิตสฺส = ปสฺสาวมคฺเค กตฺตพฺพสฺส อนุวาสกมฺมสฺส ผู้มีกรรมคือการสวนทวารอันพึงทำทางท่อปัสสาวะ,  อาตุรสฺส = คิลานสฺส ผู้ป่วย

[12] อภิชาต คือ เกิดมาในตระกูลสูง, สูงส่งโดยกำเนิด, บริบูรณ์โดยชาติ เพราะฉะนั้น รัตนชาติเหล่าใด บริสุทธิ์ผุดผ่องสูงส่งตามธรรมชาติที่ดีอยู่แล้ว จึงไม่มีกิจอันพึงทำเหล่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น