๕.
สนฺถววคฺโค
กลุ่มปัญหามีสันถวปัญหาเป็นลำดับแรก
*****
๔.
มคฺคุปฺปาทนปญฺโห
๔. ‘‘ภนฺเต นาคเสน, ภาสิตมฺเปตํ ภควตา ‘ตถาคโต ภิกฺขเว, อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ อนุปฺปนฺนสฺส
มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา’ติฯ ปุน จ ภณิตํ ‘อทฺทสํ
ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, ปุราณํ มคฺคํ ปุราณํ
อญฺชสํ ปุพฺพเกหิ สมฺมาสมฺพุทฺเธหิ อนุยาต’นฺติฯ ยทิ,
ภนฺเต นาคเสน, ตถาคโต อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส
อุปฺปาเทตา, เตน หิ ‘อทฺทสํ ขฺวาหํ,
ภิกฺขเว, ปุราณํ มคฺคํ ปุราณํ อญฺชสํ
ปุพฺพเกหิ สมฺมาสมฺพุทฺเธหิ อนุยาต’นฺติ ยํ วจนํ, ตํ มิจฺฉาฯ ยทิ ตถาคเตน ภณิตํ ‘อทฺทสํ ขฺวาหํ,
ภิกฺขเว, ปุราณํ มคฺคํ ปุราณํ อญฺชสํ
ปุพฺพเกหิ สมฺมาสมฺพุทฺเธหิ อนุยาต’นฺติ, เตน หิ ‘ตถาคโต, ภิกฺขเว,
อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา’ติ ตมฺปิ วจนํ มิจฺฉาฯ อยมฺปิ อุภโต โกฏิโก ปญฺโห ตวานุปฺปตฺโต, โส ตยา นิพฺพาหิตพฺโพ’’ติฯ
๔.
มคฺคุปฺปาทนปญฺโห
๔. มัคคุปปทานปัญหา
ปัญหาว่าด้วยการทำมรรคให้เกิดขึ้น
****
มิลินฺโท
ราชา
พระเจ้ามิลินท์ อาห ตรัสแล้ว อิติ ว่า นาคเสน
ข้าแต่พระนาคเสน ภนฺเต ผู้เจริญ เอตํ วจนํ พระดำรัสนี้ ภควตา อันพระผู้มีพระภาค
ภาสิตมฺปิ แม้ตรัสแล้ว อิติ ว่า ภิกฺขเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคโต พระตถาคต อรหํ ผู้ทรงเป็นพระอรหันต์ สมฺมาสมฺพุทฺโธ
ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มคฺคสฺส ทรงยังมรรค อนุปฺปนฺนสฺส
ที่ยังไม่เกิดขึ้น อุปฺปาเทตา ให้เกิดขึ้น ดังนี้. จ แต่ว่า เอตํ วจนํ ข้อความนี้ ภควตา
อันพระผู้มีพระภาค ภณิตํ ตรัสไว้ ปุน อีก อิติ ว่า ภิกฺขเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อหํ เราตถาคต อทฺทสํ ได้ค้นพบ มคฺคํ
มรรค ปุราณํ เก่า อญฺชสํ ซึ่งทาง ปุราณํ เก่า สมฺมาสมฺพุทฺเธหิ
อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ปุพฺพเกหิ ผู้ทรงมีในกาลก่อน อนุยาตํ
เสด็จดำเนินตามกันไปแล้ว ดังนี้. ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ ยทิ
ถ้าหากว่า ตถาคโต พระตถาคต อรหํ ผู้ทรงเป็นพระอรหันต์ สมฺมาสมฺพุทฺโธ
ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มคฺคสฺส ทรงยังมรรค อนุปฺปนฺนสฺส
ที่ยังไม่เกิดขึ้น อุปฺปาเทตา ให้เกิดขึ้น ไซร้, เตน หิ
ถ้าอย่างนั้น ยํ วจนํ พระดำรัสใด อิติ ว่า ภิกฺขเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อหํ เราตถาคต อทฺทสํ ได้ค้นพบ มคฺคํ
มรรค ปุราณํ เก่า อญฺชสํ ซึ่งทาง ปุราณํ เก่า สมฺมาสมฺพุทฺเธหิ
อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ปุพฺพเกหิ ผู้ทรงมีในกาลก่อน อนุยาตํ เสด็จดำเนินตามกันไปแล้ว
ดังนี้, ตํ วจนํ พระดำรัสนั้น มิจฺฉา ผิด, ยทิ ถ้าหากว่า ยํ
วจนํ พระดำรัสใด ตถาคเตน อันพระตถาคต ภณิตํ อิติ ว่า ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อหํ
เราตถาคต อทฺทสํ ได้ค้นพบ มคฺคํ มรรค ปุราณํ เก่า อญฺชสํ
ซึ่งทาง ปุราณํ เก่า สมฺมาสมฺพุทฺเธหิ อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
ปุพฺพเกหิ ผู้ทรงมีในกาลก่อน อนุยาตํ เสด็จดำเนินตามกันไปแล้ว
ดังนี้, เตน หิ ถ้าอย่างนั้น ตมฺปิ วจนํ พระดำรัสแม้นั้น อิติ
ว่า ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคโต พระตถาคต อรหํ
ผู้ทรงเป็นพระอรหันต์ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มคฺคสฺส
ทรงยังมรรค อนุปฺปนฺนสฺส ที่ยังไม่เกิดขึ้น อุปฺปาเทตา ให้เกิดขึ้น
ดังนี้ มิจฺฉา ก็ผิด, อยมฺปิ ปญฺโห ปัญหาแม้นี้ โกฏิโก
มีเงื่อนงำ อุภโต โดยส่วนสอง อนุปฺปตฺโต ตกถึงแล้ว ตว
แก่ท่าน, โส ปญฺโห ปัญหานั้น ตยา ท่าน นิพฺพาหิตพฺโพ
พึงคลี่คลาย ดังนี้ [1]
‘‘ภาสิตมฺเปตํ, มหาราช, ภควตา ‘ตถาคโต, ภิกฺขเว,
อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา’ติฯ ภณิตญฺจ ‘อทฺทสํ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว,
ปุราณํ มคฺคํ ปุราณํ อญฺชสํ ปุพฺพเกหิ สมฺมาสมฺพุทฺเธหิ
อนุยาต’นฺติ, ตํ ทฺวยมฺปิ สภาววจนเมว,
ปุพฺพกานํ, มหาราช, ตถาคตานํ
อนฺตรธาเนน อสติ อนุสาสเก มคฺโค อนฺตรธายิ, ตํ ตถาคโต มคฺคํ
ลุคฺคํ ปลุคฺคํ คูฬฺหํ ปิหิตํ ปฏิจฺฉนฺนํ อสญฺจรณํ ปญฺญาจกฺขุนา
สมฺปสฺสมาโน อทฺทส ปุพฺพเกหิ สมฺมาสมฺพุทฺเธหิ อนุยาตํ, ตํการณา
อาห ‘อทฺทสํ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, ปุราณํ มคฺคํ ปุราณํ อญฺชสํ ปุพฺพเกหิ สมฺมาสมฺพุทฺเธหิ อนุยาต’นฺติฯ
นาคเสโน
เถโร พระนาคเสนเถระ อาห ทูลตอบแล้ว อิติ ว่า มหาราช
มหาบพิตร เอตมฺปิ วจนํ แม้คำนี้ ตถาคเตน อันพระตถาคต ภาสิตํ
ตรัสแล้ว อิติ ว่า ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคโต
พระตถาคต อรหํ ผู้ทรงเป็นพระอรหันต์ สมฺมาสมฺพุทฺโธ
ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มคฺคสฺส ทรงยังมรรค อนุปฺปนฺนสฺส
ที่ยังไม่เกิดขึ้น อุปฺปาเทตา ให้เกิดขึ้น ดังนี้. จ อนึ่ง เอตํ
วจนํ ข้อความนี้ ภควตา อันพระผู้มีพระภาค ภณิตํ ตรัสไว้ อิติ
ว่า ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อหํ เราตถาคต อทฺทสํ
ได้ค้นพบ มคฺคํ มรรค ปุราณํ เก่า อญฺชสํ ซึ่งทาง ปุราณํ
เก่า สมฺมาสมฺพุทฺเธหิ อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ปุพฺพเกหิ
ผู้ทรงมีในกาลก่อน อนุยาตํ เสด็จดำเนินตามกันไปแล้ว ดังนี้. มหาราช
มหาบพิตร ตํ ทฺวยมฺปิ แม้พระพุทธดำรัสทั้งสองนั้น สภาววจนเมว
เป็นพระดำรัสเกี่ยวกับสภาวะนั่นเทียว, มหาราช มหาบพิตร อนุสาสเก
เมื่อผู้พร่ำสอน อสติ ไม่มี อนฺตรธาเนน เพราะการอันตรธานหายไป ตถาคตานํ
พระตถาคตทั้งหลาย ปุพฺพกานํ ผู้มีในกาลก่อน มคฺโค มรรค อนฺตรธายิ
ชื่อว่า อันตรธานหายไป, ตถาคโต พระตถาคต สมฺปสฺสมาโน เมื่อทรงค้นพบ ปญฺญาจกฺขุนา
ด้วยพระปัญญาจักษุ อทฺทส ชื่อว่า ได้เห็นแล้ว ตํ มคฺคํ ซึ่งมรรคนั้น
ลุคฺคํ ซึ่งขาดไป ปลุคฺคํ ขาดหมดแล้ว คูฬฺหํ
ที่ซ่อนอยู่ ปิหิตํ ที่ปิดบังไว้ ปฏิจฺฉนฺนํ ที่ปกปิดไว้ อสญฺจรณํ ไม่เป็นที่สัญจร สมฺมาสมฺพุทฺเธหิ
อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย อนุยาตํ เคยเสด็จดำเนินตามกันไป, ตํการณา
เพราะเหตุแห่งการค้นพบมรรคอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลก่อนเคยเสด็จดำเนินตามกันไปนั้น
ตถาคโต พระตถาคต อาห จึงตรัส อิติ ว่า ภิกฺขเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อหํ เราตถาคต อทฺทสํ ได้ค้นพบ มคฺคํ
มรรค ปุราณํ เก่า อญฺชสํ ซึ่งทาง ปุราณํ เก่า สมฺมาสมฺพุทฺเธหิ
อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ปุพฺพเกหิ ผู้ทรงมีในกาลก่อน อนุยาตํ
เสด็จดำเนินตามกันไปแล้ว ดังนี้
‘‘ปุพฺพกานํ, มหาราช, ตถาคตานํ
อนฺตรธาเนน อสติ อนุสาสเก ลุคฺคํ ปลุคฺคํ คูฬฺหํ ปิหิตํ ปฏิจฺฉนฺนํ อสญฺจรณํ มคฺคํ
ยํ ทานิ ตถาคโต สญฺจรณํ อกาสิ, ตํการณา อาห ‘ตถาคโต, ภิกฺขเว, อรหํ
สมฺมาสมฺพุทฺโธ อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา’ติฯ
มหาราช
มหาบพิตร อนุสาสเก เมื่อผู้อนุศาสก์ อสติ ไม่มี อนฺตรธาเนน
เพราะอันตรธานหายไป ตถาคตานํ แห่งพระตถาคตทั้งหลาย ปุพฺพกานํ
ในกาลก่อน, ทานิ (แต่)บัดนี้ ตถาคโต พระตถาคต อกาสิ ได้ทรงกระทำ
มคฺคํ ซึ่งหนทาง อสญฺจรณํ อันไม่ใช่ทางสัญจร ลุคฺคํ ซึ่งขาดไป
ปลุคฺคํ ขาดสิ้นไป คูฬฺหํ อันซ่อนเร้น ปิหิตํ อันปิดบังไว้ ปฏิจฺฉนฺนํ
อันปกปิดไว้ สญฺจรณํ ให้เป็นหนทางใช้สัญจร ยํ อันใด, ตํการณา
เพราะเหตุแห่งการกระทำมรรคให้เป็นหนทางมีผู้ดำเนินไปนั้น ตถาคโต พระตถาคต อาห
จึงตรัส อิติ ว่า ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคโต
พระตถาคต อรหํ ผู้ทรงเป็นพระอรหันต์ สมฺมาสมฺพุทฺโธ
ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มคฺคสฺส ทรงยังมรรค อนุปฺปนฺนสฺส
ที่ยังไม่เกิดขึ้น อุปฺปาเทตา ให้เกิดขึ้น ดังนี้.
‘‘อิธ, มหาราช, รญฺโญ
จกฺกวตฺติสฺส อนฺตรธาเนน มณิรตนํ คิริสิขนฺตเร นิลียติ, อปรสฺส
จกฺกวตฺติสฺส สมฺมาปฏิปตฺติยา อุปคจฺฉติ, อปิ นุ โข ตํ,
มหาราช, มณิรตนํ ตสฺส ปกต’’นฺติ? ‘‘น หิ, ภนฺเต, ปากติกํเยว ตํ มณิรตนํ, เตน ปน นิพฺพตฺติต’’นฺติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช,
ปากติกํ ปุพฺพเกหิ ตถาคเตหิ อนุจิณฺณํ อฏฺฐงฺคิกํ สิวํ มคฺคํ อสติ อนุสาสเก
ลุคฺคํ ปลุคฺคํ คูฬฺหํ ปิหิตํ ปฏิจฺฉนฺนํ อสญฺจรณํ ภควา ปญฺญาจกฺขุนา สมฺปสฺสมาโน
อุปฺปาเทสิ, สญฺจรณํ อกาสิ, ตํการณา
อาห ‘ตถาคโต, ภิกฺขเว, อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา’ติฯ
มหาราช
มหาบพิตร มณิรตนํ แก้วมณี นิลียติ ย่อมถูกซ่อนไว้ คิริสิขนฺตเร
ภายในแห่งยอดเขาอนฺตรธาเนน เพราะการอันตรธานหายไป รญฺโญ แห่งพระราชา
จกฺกวตฺติสฺส ผู้พระจักรพรรดิ อิธ ในโลกนี้, อุปคจฺฉติ ย่อมเข้ามาด้วยดี[2] (ปรากฏขึ้น)
สมฺมาปฏิปตฺติยา เพราะสัมมาปฏิบัติ จกฺกวตฺติสฺส แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ
อปรสฺส พระองค์อื่น, มหาราช มหาบพิตร ตํ มณิรตนํ แก้วมณีนั้น
ตสฺส อปรจกฺกวตฺติสฺส = เตน อปรจกฺวตฺตินา อันพระเจ้าจักรพรรดิ์
พระองค์อื่นนั้น ปกตํ[3] ทรงสร้างขึ้นก่อนแล้ว อปิ นุ โข หรือหนอแล? ดังนี้
มิลินฺโท
ราชา พระเจ้ามิลินท์ อาห ตรัสแล้ว อิติ ว่า ภนฺเต
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ตํ มณิรตนํ แก้วมณีนั้น ปากติกํเยว เป็นสิ่งที่มีอยู่ตามปกติ
น หามิได้, ปน แต่ว่า ตํ มณิรตนํ แก้วมณีนั้น เตน
จกฺวตฺตินา อันพระเจ้าจักรพรรดินั้น นิพฺพตฺติตํ ทรงกระทำให้เกิดขึ้น
ดังนี้
นาคเสโน
พระนาคเสนเถระ อาห ทูลแล้ว อิติ ว่า มหาราช มหาบพิตร ภควา
พระผู้มีพระภาค สมฺปสฺสมาโน เมื่อทรงค้นพบ ปญฺญาจกฺขุนา
ด้วยปัญญาจักษุ มคฺคํ ทรงยังมรรค อฏฺฐงฺคิกํ อันประกอบด้วยองค์แปด สิวํ
อันเกษม อัน - ตถาคเตหิ อันพระตถาคตทั้งหลาย ปุพฺพเกหิ
ผู้ทรงมีในกาลก่อน - อนุจิณฺณํ ประพฤติสืบมาแล้ว ปากติกํ
เป็นมรรคที่ถูกทำไว้ก่อน อนุสาสเก เมื่อผู้อนุศาสก์ อสติ ไม่มี ลุคฺคํ
จึงขาดไป ปลุคฺคํ ขาดหมดแล้ว คูฬฺหํ เป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ ปิหิตํ
ที่ปิดบังไว้ ปฏิจฺฉนฺนํ
ที่ปกปิดไว้ อสญฺจรณํ ไม่เป็นที่สัญจร สมฺมาสมฺพุทฺเธหิ
อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย อนุยาตํ เคยเสด็จดำเนินตามกันไป อุปฺปาเทสิ
ให้อุบัติขึ้นแล้ว อกาสิ ได้ทรงกระทำ สญฺจรณํ ให้เป็นหนทางมีผู้ดำเนินไป
ตํการณา เพราะเหตุแห่งการกระทำมรรคให้เป็นหนทางมีผู้ดำเนินไปนั้น ตถาคโต
พระตถาคต อาห จึงตรัส อิติ ว่า ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคโต
พระตถาคต อรหํ ผู้ทรงเป็นพระอรหันต์ สมฺมาสมฺพุทฺโธ
ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มคฺคสฺส ทรงยังมรรค อนุปฺปนฺนสฺส
ที่ยังไม่เกิดขึ้น อุปฺปาเทตา ให้เกิดขึ้น ดังนี้.
‘‘ยถา วา ปน, มหาราช, สนฺตํ เยว
ปุตฺตํ โยนิยา ชนยิตฺวา มาตา ‘ชนิกา’ติ
วุจฺจติ, เอวเมว โข, มหาราช, ตถาคโต สนฺตํ เยว มคฺคํ ลุคฺคํ ปลุคฺคํ คูฬฺหํ ปิหิตํ ปฏิจฺฉนฺนํ อสญฺจรณํ
ปญฺญาจกฺขุนา สมฺปสฺสมาโน อุปฺปาเทสิ, สญฺจรณํ อกาสิ,
ตํการณา อาห ‘ตถาคโต, ภิกฺขเว,
อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา’ติฯ
มหาราช
มหาบพิตร ปน ก็ วา หรือว่า มาตา มารดา ชนยิตฺวา คลอดแล้ว
ปุตฺตํ ซึ่งบุตร สนฺตํเยว อันมีอยู่นั่นเทียว โยนิยา
ทางช่องคลอด วุจฺจติ อันเขาย่อมเรียก อิติ ว่า ชนิกา
(มารดาผู้ให้กำเนิด) ดังนี้ ยถา ฉันใด, มหาราช มหาบพิตร ตถาคโต
พระตถาคต สมฺปสฺสมาโน เมื่อทรงเห็นอยู่ ปญฺญาจกฺขุนา ด้วยปัญญาจักษุ
มคฺคํ ยังมรรค สนฺตํเยว อันมีอยู่นั่นเทียว ลุคฺคํ ซึ่งขาดไป
ปลุคฺคํ ขาดหมดแล้ว คูฬฺหํ เป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ ปิหิตํ
ที่ปิดบังไว้ ปฏิจฺฉนฺนํ
ที่ปกปิดไว้ อสญฺจรณํ ไม่เป็นที่สัญจร อุปฺปาเทสิ ให้เกิดขึ้นแล้ว,
อกาสิ ได้ทรงกระทำ สญฺจรณํ ให้เป็นหนทางมีผู้ดำเนินไป ตํการณา
เพราะเหตุแห่งการกระทำมรรคให้เป็นหนทางมีผู้ดำเนินไปนั้น ตถาคโต พระตถาคต อาห
จึงตรัส อิติ ว่า ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคโต
พระตถาคต อรหํ ผู้ทรงเป็นพระอรหันต์ สมฺมาสมฺพุทฺโธ
ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มคฺคสฺส ทรงยังมรรค อนุปฺปนฺนสฺส
ที่ยังไม่เกิดขึ้น อุปฺปาเทตา ให้เกิดขึ้น ดังนี้ เอวเมว โข ฉันนั้นนั่นเทียวแล.
‘‘ยถา วา ปน, มหาราช, โกจิ
ปุริโส ยํ กิญฺจิ นฏฺฐํ ปสฺสติ, ‘เตน ตํ ภณฺฑํ นิพฺพตฺติต’นฺติ ชโน โวหรติ, เอวเมว โข, มหาราช,
ตถาคโต สนฺตํ เยว มคฺคํ ลุคฺคํ ปลุคฺคํ คูฬฺหํ ปิหิตํ ปฏิจฺฉนฺนํ
อสญฺจรณํ ปญฺญาจกฺขุนา สมฺปสฺสมาโน อุปฺปาเทสิ, สญฺจรณํ อกาสิ, ตํการณา อาห ‘ตถาคโต, ภิกฺขเว, อรหํ
สมฺมาสมฺพุทฺโธ อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา’ติฯ
มหาราช
มหาบพิตร ปน ก็ วา หรือว่า โกจิ ปุริโส บุรุษบางคน ปสฺสติ
หาเจออยู่ ยํ กิญฺจิ ภณฺฑํ ซึ่งสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่ง นฏฺฐํ
ที่หายไปแล้ว, ชโน ชน โวหรติ ย่อมเรียก อิติ ว่า ตํ ภณฺฑํ
สิ่งของนั้น เตน อันบุรุษนั้น นิพฺพตฺติตํ ให้เกิดขึ้นแล้ว ดังนี้ ยถา
ฉันใด มหาราช มหาบพิตร ตถาคโต พระตถาคต สมฺปสฺสมาโน
เมื่อทรงเห็นอยู่ ปญฺญาจกฺขุนา ด้วยปัญญาจักษุ มคฺคํ ยังมรรค สนฺตํเยว
อันมีอยู่นั่นเทียว ลุคฺคํ ซึ่งขาดไป ปลุคฺคํ ขาดหมดแล้ว คูฬฺหํ
เป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ ปิหิตํ ที่ปิดบังไว้ ปฏิจฺฉนฺนํ ที่ปกปิดไว้ อสญฺจรณํ ไม่เป็นที่สัญจร อุปฺปาเทสิ
ให้เกิดขึ้นแล้ว, อกาสิ ได้ทรงกระทำ สญฺจรณํ ให้เป็นหนทางมีผู้ดำเนินไป
ตํการณา เพราะเหตุแห่งการกระทำมรรคให้เป็นหนทางมีผู้ดำเนินไปนั้น ตถาคโต
พระตถาคต อาห จึงตรัส อิติ ว่า ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคโต
พระตถาคต อรหํ ผู้ทรงเป็นพระอรหันต์ สมฺมาสมฺพุทฺโธ
ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มคฺคสฺส ทรงยังมรรค อนุปฺปนฺนสฺส
ที่ยังไม่เกิดขึ้น อุปฺปาเทตา ให้เกิดขึ้น ดังนี้ เอวเมว โข
ฉันนั้นนั่นเทียวแล.
‘‘ยถา วา ปน, มหาราช, โกจิ
ปุริโส วนํ โสเธตฺวา ภูมิํ นีหรติ, ‘ตสฺส สา ภูมี’ติ ชโน โวหรติ, น เจสา ภูมิ เตน
ปวตฺติตา, ตํ ภูมิํ การณํ กตฺวา ภูมิสามิโก นาม โหติ,
เอวเมว โข, มหาราช, ตถาคโต
สนฺตํ เยว มคฺคํ ลุคฺคํ ปลุคฺคํ คูฬฺหํ ปิหิตํ ปฏิจฺฉนฺนํ อสญฺจรณํ ปญฺญาย
สมฺปสฺสมาโน อุปฺปาเทสิ, สญฺจรณํ อกาสิ, ตํการณา อาห ‘ตถาคโต, ภิกฺขเว,
อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา’’’ติฯ
มหาราช
มหาบพิตร ปน ก็ วา หรือว่า โกจิ ปุริโส บุรุษบางคน โสเธตฺวา
ให้ชำระ (ถาง) วนํ ซึ่งป่า นีหรติ ย่อมนำมา ภูมิํ ซึ่งที่ดิน,
ชโน ชน โวหรติ ย่อมเรียก อิติ ว่า สา ภูมิ ที่ดินนั้น
ตสฺส ของชนนั้น, จ ก็ เอสา ภูมิ ที่ดินนั้น เตน
อันบุรุษนั้น น ปวตฺติตา
ให้เป็นไปแล้ว หามิได้, โส เขา ภูมิสามิโก นาม เป็นผู้มีชื่อว่า
เจ้าของที่ดิน กตฺวา เพราะกระทำ ภูมิํ ซึ่งที่ดินนั้น การณํ
ให้เป็นเหตุ ยถา ฉันใด มหาราช มหาบพิตร ตถาคโต พระตถาคต สมฺปสฺสมาโน
เมื่อทรงเห็นอยู่ ปญฺญาจกฺขุนา ด้วยปัญญาจักษุ มคฺคํ ยังมรรค สนฺตํเยว
อันมีอยู่นั่นเทียว ลุคฺคํ ซึ่งขาดไป ปลุคฺคํ ขาดหมดแล้ว คูฬฺหํ
เป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ ปิหิตํ ที่ปิดบังไว้ ปฏิจฺฉนฺนํ ที่ปกปิดไว้ อสญฺจรณํ ไม่เป็นที่สัญจร อุปฺปาเทสิ
ให้เกิดขึ้นแล้ว, อกาสิ ได้ทรงกระทำ สญฺจรณํ
ให้เป็นหนทางมีผู้ดำเนินไป ตํการณา
เพราะเหตุแห่งการกระทำมรรคให้เป็นหนทางมีผู้ดำเนินไปนั้น ตถาคโต พระตถาคต อาห
จึงตรัส อิติ ว่า ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคโต
พระตถาคต อรหํ ผู้ทรงเป็นพระอรหันต์ สมฺมาสมฺพุทฺโธ
ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มคฺคสฺส ทรงยังมรรค อนุปฺปนฺนสฺส
ที่ยังไม่เกิดขึ้น อุปฺปาเทตา ให้เกิดขึ้น ดังนี้ เอวเมว โข ฉันนั้นนั่นเทียวแล
‘‘สาธุ, ภนฺเต นาคเสน, เอวเมตํ
ตถา สมฺปฏิจฺฉามี’’ติฯ
มิลินฺโท
ราชา พระเจ้ามิลินท์ อาห ตรัสแล้ว อิติ ว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ
สาธุ พระคุณเจ้าวิสัชนาชอบแล้ว, อหํ ข้าพเจ้า สมฺปฏิจฺฉามิ
ยอมรับ เอตํ ซึ่งคำนั้น ตถา โดยประการที่พระคุณเจ้ากล่าวมา เอวํ อย่างนี้
ดังนี้
มคฺคุปฺปาทนปญฺโห
จตุตฺโถฯ
มคฺคุปฺปาทานปญฺโห มัคคุปปาทนปัญหา
จตุตฺโถ ลำดับที่สี่
นิฏฺฐิโต
จบแล้ว
[1] ความขัดแย้งของพระบาฬีสองแห่งนี้ คือ ด้วยพระดำรัสที่ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราได้พบเห็นแล้วซึ่งมรรคเก่า
เป็นต้น นี่ทรงแสดงว่า มรรคเก่า คือ มรรค ที่ล่วงไปแล้ว หมดไปแล้ว สิ้นไปแล้ว. ส่วนด้วยคำตรัสที่ว่า
ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทำมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ดังนี้
นี้ ทรงแสดงว่า มรรคที่กำลังเป็นไป ที่พระองค์ทรงประกาศอยู่นี้ เป็นมรรคใหม่ ที่พระองค์ทรงทำให้เกิดขึ้น
คือ ทรงค้นพบด้วยอำนาจการทำให้เกิดขึ้น เหมือนอย่างอดีต ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายตั้งแต่ครั้งอดีต
ทรงทำให้เกิดขึ้น
[2] อุปคจฺฉติ ตามศัพท์แปลว่า เข้าถึง เข้าไป มาถึง อย่างใดอย่างหนึ่ง
กล่าวคือ ได้มา แต่ในบริบทนี้ น่าจะแปลว่า ปรากฏขึ้น เพราะอำนาจแห่งอุป ศัพท์
ที่เป็นอุปสัคคชนิดเบียนอรรถของธาตุให้ไขว้ไขวไปจากเดิม
ด้วยเหตุนี้ในที่นี้จะแปลโดยอรรถว่า ปาตุภวนํ ปรากฏ
[3] ในที่นี้แปลตามมิลินทฏีกา ที่แก้ ตสฺส ปกตํ เป็น เตน อปรจกฺวตฺตินา. อนึ่ง ปกต ศัพท์มีอรรถหลายอย่าง อาทิ พฺยาวฏ
ขวนขวาย, สร้าง, กระทำ บ้าง, มีอรรถสภาวภูต เป็นของมีมาตามธรรมชาติ. ในที่นี้มีอรรถว่า พฺยาวโฏ ขวนขวาย จึงหมายถึง พระองค์จะทรงสร้างขึ้นไว้ก่อนจะเป็นพระเจ้าจักพรรดิ์
อีกนัยหนึ่ง ถ้าจะแปลให้มีความหมายว่า เป็นของมีมาตามธรรมชาติของพระเจ้าจักรพรรดิ์
ในกรณีนี้ ปกต ศัพท์มีอรรถ สภาวภูต แปลว่า เป็นสภาพ หรือเป็นมูล (กงฺ.อภิ.๒๕๗). รวมความได้ว่า
พระนาคเสนเถระตั้งคำถามในเชิงปฏิปุจฉาว่า
มณีรัตนะนั้นเป็นของเดิมที่มีอยู่ก่อนจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ใช่ไหม